ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่๓ไฟล์๒

๑๒ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ครั้งที่ ๓ ไฟล์ ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๑
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 

ถาม :มีปัญหาอันหนึ่งถามว่าพระไปกราบฤๅษี เห็นพระไปกราบฤๅษีแล้วมันก็เป็นข่าว

หลวงพ่อ : พระไปกราบฤๅษีได้ไหม? พระไปกราบฤๅษีเพราะเหตุใด? ถ้าพระไปกราบฤๅษีนี่นะ เราไปคิดกันเองเห็นไหม เราเห็น ทุกคนรู้แล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ ถ้าสิ่งที่ไม่สมควรทำ ทำไมเขาทำล่ะ? สิ่งที่เขาทำเพราะใจของเขามันว้าเหว่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสัตว์ประเสริฐเป็นผู้ที่มีปัญญา แต่หลวงตาบอกว่ามนุษย์เป็นยักษ์หูสั้น มนุษย์กินทุกอย่างนะ มนุษย์เอาทุกอย่างมาเป็นอาหาร สัตว์เวลามันทำร้ายกันเอง มันต่อสู้กัน แต่เวลาเจอมนุษย์มันไม่กล้าต่อสู้เพราะมนุษย์เอามันเป็นอาหารหมด

มนุษย์เป็นยักษ์หูสั้น กินทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เวลาที่เราบอกว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมันต้องมีปัญญาสิ สัตว์ประเสริฐมันต้องมีศีลธรรมจริยธรรมสิ สัตว์ประเสริฐถ้ามีศีลธรรมจริยธรรมนะมันจะมีความเมตตา สัตว์ถ้ามันอยู่กับมนุษย์นะ ถ้ามนุษย์มีเมตตามัน

ดูสุนัขสิ เจ้าของ มันจะรักเจ้าของมันมาก มันจะกตัญญูกตเวทีกับเจ้าของมันมากเพราะเจ้าของให้ชีวิตมัน ดูแลคุ้มครองมันและมันก็ซื่อสัตว์กับเจ้าของมัน ถ้าสัตว์ประเสริฐมันต้องมีคุณธรรมในหัวใจ แต่นี่สัตว์ประเสริฐไม่มีคำมีคุณในหัวใจเห็นไหม สัตว์ประเสริฐ สัตตะเป็นผู้ข้อง ในเมื่อหัวใจมันว้าเหว่ มันไม่มีที่พึ่ง

แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาเป็นที่พึ่ง สมัยก่อนนั้น ก่อนที่จะมีพุทธศาสนา มนุษย์กราบบูชานะ บูชาแม้แต่ดวงอาทิตย์ บูชาไฟ ไฟที่เอามาใช้ต้มแกงกินกัน เมื่อก่อนเขาบูชากัน เขาไม่รู้มันมาจากไหนนะ บูชาเป็นสิ่งที่สืบต่อไปกับเทพ สืบต่อกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ นี่ไม่มีที่พึ่ง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนะ เมื่อก่อนไม่มีที่พึ่งก็กราบบูชาภูเขา บูชาไฟกัน บัดนี้ บัดนี้เห็นไหม

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บูชารัตนตรัย บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”

ถ้าพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เราเป็นผู้ประเสริฐได้ สิ่งที่เรียกว่าสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมันพูดกันไปแต่ปาก มันไม่ประเสริฐจริงนะสิ ถ้ามันประเสริฐจริง มันมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจ ถ้ามีหลักเกณฑ์ในหัวใจเป็นมนุษย์ที่ดี เวลามาบวชพระเห็นไหม ไปบวชพระ เป็นภิกษุ เป็นสงฆ์

ถ้าบวชพระนะ พระมีครูบาอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ต้องมีศีล ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา ถ้ามีศีล คนที่มีศีลนะ คนนี้มีศีลเพราะอะไร? เพราะศีลนี่มัน ศีลเป็นความปกติของใจ คนเราถ้าศีลไม่ปกติเราจะไปทำอะไรได้? เราทำอะไรไม่ได้หรอกเพราะเราไม่มีหลักมีเกณฑ์

ถ้ามีศีลขึ้นมามันจะไปกราบคฤหัสถ์ได้อย่างไร? สิ่งที่ไปกราบคฤหัสถ์เพราะเห็นว่าเขามีฤทธิ์มีเดชไง เขาเป็นฤๅษีชีไพร เขามีฤทธิ์มีเดช เขาทำสิ่งใดได้ เขาพยากรณ์อะไรถูกต้องไปหมดเลย เราเป็นพระเห็นไหม เป็นพระปุถุชน เป็นพระบวชใหม่ เป็นพระบวชใหม่ในหัวใจมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ก็ไปกราบไปไหว้เขา

ไปกราบไปไหว้เขาในสิ่งที่เขามีคุณวิเศษ ผู้วิเศษไม่ใช่ธรรมนะ ผู้วิเศษเห็นไหม ผู้วิเศษเขามีอำนาจจิต มีความมหัศจรรย์ในร่างกายของเขา ในเมื่อเขามีความมหัศจรรย์ในร่างกายของเขา เขามีเซนส์ต่างๆ ดูสิพวกหมอดูเขามีอะไรของเขา แล้วมันแก้ทุกข์ได้ไหม? มันก็เกิดตายทั้งนั้น

ถ้ามันเกิดตายทั้งนั้นมันก็เป็นเรื่องของโลกๆ เป็นเครื่องสิ่งที่ เดี๋ยวนี้นะพวกสิบแปดมงกุฎเขาหลอกลวงกันได้ยิ่งกว่านี้อีก คนที่มีการศึกษามีเชาวน์ปัญญาไปเป็นขี้ข้าเขา ไปให้เขาหลอกนะ คนนะถ้าคนมีการศึกษาถ้าให้เขาลงใจนะให้เขาเชื่อแล้วนะ เขาเชื่อฝังหัวนะ เขาเชื่อหัวปักหัวปำ มันน่าสงสารตรงนี้ มันน่าสงสารนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้กาลามสูตรเห็นไหม ไม่ให้เชื่อแม้แต่เป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่สอนเรา ที่พูดอยู่นี่ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อนะ ให้พิสูจน์ ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย สิ่งนี้เชื่อไม่ได้ เพราะศรัทธาความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ กาลามสูตรไม่ให้เชื่ออะไรเลย ให้เชื่อสัจจะความจริง ให้เชื่อสัจจะความจริง

แล้วเราไปเชื่อเขา ไปเชื่อเขาแล้วพิสูจน์ได้ไหม? เราพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย แล้วไปเชื่อเขาทำไม? ถ้าไม่เชื่อเขา แล้วนี่ไปกราบไหว้เขาทำไม? เพราะอะไร? เพราะบวชมา บวชมาเฉยๆ เวลาเราคิด คนแก่คนเฒ่าเวลาเขาพูดมา ผู้ที่มีราตรียาว เขาจะมีการศึกษา มีประสบการณ์ ถ้าประสบการณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องเราเคารพ เราก็ศรัทธา

ดูพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ในบ้านเราสิ เราทำสิ่งใดแล้วพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เขาจะเป็นที่ปรึกษาเราได้เพราะเขาผ่านโลกมามาก เขาผ่านโลกมามาก เขามีประสบการณ์ของเขา แต่ถ้าพูดถึงผู้แก่ ผู้แก่ แต่ไม่มีประสบการณ์ แก่เฉยๆ ไม่มีเชาวน์ปัญญาเห็นไหม มนุษย์มันต่างกันตรงนี้ไง ต่างตรงที่ว่าคนมีจุดยืนในหัวใจไหม? คนมีหลักมีเกณฑ์ไหม?เพราะคนมีหลักมีเกณฑ์มันจะเป็นที่พึ่งอาศัยของสังคมได้

แต่คนที่มีหลักมีเกณฑ์นะ เขาเป็นผู้อาศัยสังคม มันต่างกันตรงนี้ ต่างกันด้วยหัวใจ ต่างกันที่ความรู้จากภายใน นี่ต่างกันอย่างนั้น เราบวชแล้ว เราเป็นพระใหม่ ถ้าเป็นพระใหม่เราศึกษาครูบาอาจารย์ ถ้าศึกษาครูบาอาจารย์ก็ให้ครูบาอาจารย์คอยโอ๋ คอยอุ้ม มันเป็นเฒ่าทารก บวชมาก็เป็นภิกษุทารกก็ทารกกันอยู่อย่างนั้น แล้วก็ไปกราบไปไหว้สิ่งต่างๆ เห็นไหม

แม้แต่ในวัดยังเข้าทรงเจ้ากันนะ ถือมงคลตื่นข่าว ถ้าถือมงคลตื่นข่าวขาดจากรัตนตรัย ถ้าขาดจากรัตนตรัยนะ ถ้ากราบไหว้เคารพบูชานอกจากศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุธเจ้าขาดจากไตรสรณคมน์ ขาดจากเณรนะ เป็นเณรก็เป็นเณรแต่เปลือก หัวใจไม่เป็นเณร ถ้าหัวใจเป็นเณรนะ หัวใจเป็นเณรมีศีล ๑๐ ถ้าหัวใจเป็นพระนะมีศีล ๒๒๗

แล้วถ้ามีศีลมีธรรมในหัวใจแล้วนี่ มีศีลมีธรรมสิ่งนั้นทำไม่ได้ ถ้าสิ่งนั้นทำไม่ได้ แต่ที่เขาทำทำด้วยความเคารพนบนอบ ทำด้วยความบูชาเลย แล้วถ้าบูชานี่มันหลงผิดไง หลงผิดเพราะอะไร? ศาสนาที่ว่าเสื่อมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาเสื่อม เสื่อมเพราะลูกเราเอง เสื่อมเพราะภิกษุนี่แหละ ภิกษุทำให้ศาสนาเสื่อม

ถ้าภิกษุทำให้ศาสนาเสื่อม มันเสื่อมมาจากไหน? มันเสื่อมเพราะบวชแล้วไม่ศึกษา ถ้าศึกษาไปศึกษากับใคร ไปศึกษากับคนที่ไม่รู้มันจะได้ประโยชน์อะไร? มันก็ต้องศึกษากับผู้รู้ แล้วผู้รู้มันอยู่ที่ไหน? ผู้รู้มันอยู่ที่ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรา

ดูสิ ดูพระ-เณรตามวัดที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนบนอบ ภิกษุจะเข้าไปศึกษา ศึกษาแล้วท่านก็มีให้ศึกษาจริงๆ นะ มีให้ศึกษาคือศึกษาแล้วผิด-ถูกท่านจะเอ็ดท่านจะว่า พอเราเอ็ดว่าขึ้นมากิเลสก็ไม่ยอมอีกแล้ว ไปศึกษาก็จะให้โอบอุ้มกันอยู่อย่างนั้น ไปโอบอุ้มอยู่อย่างนั้นมันจะไปศึกษาได้อย่างไร? ทิฐิมานะ ทิฐิความเห็นผิด

หลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านกำหนดดูนะ ท่านจะสั่งสอนนะ นี่สั่งสอนได้ไหม? ถ้าสั่งสอนได้ก็จะสั่งสอน ถ้าสั่งสอนไม่ได้ท่านก็ประคองกันไป เพราะอะไร? เพราะในวัดหนองผือมีพระปฏิบัติเพราะพระปฏิบัติถ้าอย่างผู้ที่ปฏิบัติมีโอกาส จะคอยจี้คอยไช คอยจี้เลย สมาธิเป็นอย่างไร? ปัญญาเป็นอย่างไร? ได้พลิกแพลงใช้บ้างไหม?

ถ้าได้พลิกแพลงใช้นะ สิ่งที่พลิกแพลงใช้เพราะอะไร? เพราะเราจะชำระกิเลสกัน เราทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อจะชำระกิเลสนะ การว่าชำระกิเลสมันเป็นภาคปฏิบัติเลยละ แล้วเวลาบวชมาแล้วเห็นไหม การศึกษา ศึกษาด้วยสุตมยปัญญา ศึกษาธรรมวินัย ศึกษาธรรมวินัยนี่ถูกต้อง ถูกต้องเพราะศึกษาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษาไว้เป็นอาวุธ ศึกษาไว้เป็นสิ่งที่จะไปจับผิดคนอื่น ศึกษาไว้อวดภูมิ อวดภูมิว่าฉันนี่ศึกษา

ถ้าศึกษา คอมพิวเตอร์มันจำได้หมด เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ในเครื่องคอมฯมันจำได้หมดเลย แล้วคอมพิวเตอร์เราไปกราบมันไหม? เราจะกราบคอมพิวเตอร์ไหม? แล้วเราไปศึกษามา ศึกษามาเป็นสัญญา เป็นความจำ มันก็เครื่องคอมพิวเตอร์ ไปศึกษาข้อมูลมาแล้วจำไว้ จำแล้วมันได้ประโยชน์อะไร? เอามาใช้สอยประโยชน์อะไร? มันไม่ได้เอามาใช้สอยเป็นประโยชน์อะไรเลย

แต่ถ้าสุตมยปัญญา ศึกษาแล้ว ศึกษานี่ปริยัติ ต้องเอามาปฏิบัติ ถ้าเอามาปฏิบัตินะ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข่าวจะไม่เกิด ภิกษุจะไปกราบฤๅษีชีไพรเป็นไปไม่ได้ มันจะไปกราบได้อย่างไรก็มันผิดข้อมูลที่เราศึกษามา ผิดจากธรรมวินัยเลย มันผิดจากธรรมวินัย แล้วถ้ามันผิดจากธรรมวินัยแล้วไปกราบเขาจนเป็นข่าวครึกโครมอย่างนี้ มันศึกษาอะไรมา? ศึกษามาแล้วปฏิบัติไหม?

เพราะศึกษา ศึกษาแล้วทิ้งเปล่า ศึกษาแล้วไม่เอามาใช้ประโยชน์ ปริยัติไม่ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธไม่มี ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปฏิเวธคือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งในสิ่งนั้น ถ้าความรู้แจ้งในสิ่งนั้น คนรู้แจ้งในสิ่งนั้นเหมือนกับเราเป็นคนมีสติปัญญาสิ่งที่เป็นสารพิษ สิ่งที่เป็นโทษกับร่างกาย ใครจะเอาสิ่งนั้นกลืนเข้าไปในร่างกายได้ ใครจะเอาสิ่งที่เป็นพิษกลืนเข้าไปในร่างกายให้ร่างกายได้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีใครทำใช่ไหม?

สิ่งที่มันทำอยู่นี่ มันทำผิด ผิดศีลผิดธรรม มันผิดศีลผิดธรรมมันก็ทำลายตัวเอง ถ้าทำร้ายตัวเองสิ่งนี้เป็นประโยชน์ไหม? มันจะไม่เป็นประโยชน์ ศึกษาแล้วมันต้องปฏิบัติ พอปฏิบัติขึ้นมา มันการกระทำขึ้นมา สิ่งใดที่เป็นพิษ สิ่งใดที่ไม่เป็นพิษมันเป็นประโยชน์กับเรานะ

ถ้าเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ประโยชน์กับการปฏิบัตินี้ มันจะเริ่มมีความเข้าใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ เราไปถือศีลกัน ถือศีล ศีลนี่ศีล ๒๒๗ ศีลในศีล ๒๑,๐๐๐ ศีล

จนพระในสมัยพุทธกาลนะ “โอ๊ย อะไรก็ผิด อะไรก็ผิด” ไปลากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสึกนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “สึกเพราะอะไร?”

“โอ้โฮ ผิดไปหมดเลย อะไรก็ผิด”

“ถ้ารักษาศีลข้อเดียวอยู่ได้ไหม?”

“อยู่ได้”

“รักษาหัวใจ”

เห็นไหม เราไม่มีเจตนา เราไม่มีเจตนาจะทำผิดอะไรเลย ถ้าเราศึกษาไม่รอบคอบ ความพลั้งเผลอของปุถุชนมันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาเห็นไหมปลงอาบัติ มันมีการปลงอาบัติ มีการเริ่มต้นใหม่ การปลงอาบัตินี่สิ่งนี้เราไม่ทำผิด แต่ถ้าเป็นความผิดโจ่งแจ้ง เป็นความผิดที่รู้แล้วฝืนทำนี่มันเรื่องของกิเลส

มีพระเหมือนกัน มีพระไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า

“นรก-สวรรค์มีไหม?”

ถ้านรก-สวรรค์มีจริงจะให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจูงมือไปสวรรค์เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“เราสัญญากับเธอหรือ? เราไม่ได้สัญญากับเธอนะ”

ถ้าไม่ได้สัญญากับเธอ จะสึกก็สึกไปสิ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรมานพระ มันทรมานสิ่งที่เป็นประโยชน์ไง สิ่งที่เป็นคุณเป็นธรรม เป็นคุณธรรม ศีลธรรม ท่านทรมาน การทรมานคือการแก้ไขหัวใจ การทำให้สิ่งนั้นดีขึ้น แต่กิเลสมันต่อรอง ต่อรองว่าให้พาไปสวรรค์ ให้พาไปดูนรก ถ้าไม่พาไปจะสึก ก็สึกไปสิ นี่มันเป็นสิ่งที่ว่าจะไปทัวร์

ถ้าเวลาพระนันทะเป็นน้องชายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่งงานเสร็จแล้ว

“นันทะเธอจะบวชหรือ?”

ด้วยพี่ ศักดิ์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง พูดไม่ออก “บวชครับ”

บวชก็บวช บวชเสร็จแล้วใจถวิลหาแต่ภรรยาพึ่งแต่งงาน ถวิลหาตลอดเวลาเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ถึงวาระจิต

“นันทะ เธอดูนะ ดูมนุษย์นี่สวยไหม?

“สวย”

เธอไปนะ จับมือพระนันทะเหาะขึ้นไปสวรรค์เลย

ไปเห็นนางฟ้า “สวยไหม?”

“สวย”

“แล้วมนุษย์นั้นล่ะ?”

“ลิง ลิง”

“อยากได้นางฟ้านี้ไหม?”

“อยากได้”

“อยากได้ให้กำหนดนะ กำหนดพุทโธ”

ด้วยความอยากได้นางฟ้า อยากได้นางฟ้าก็กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ วิปัสสนาไปถึงที่สุดนะสิ้นกิเลสได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานนะ พาพระนันทะไปเที่ยวสวรรค์เลย แต่พระที่มาต่อรองจะขอให้พระพุทธเจ้าพาไปนะ เราสัญญากับเธอไว้หรือ? เราไม่ได้สัญญานะ ถ้าไม่อย่างนั้นจะสึก “อ้าว จะสึก สึกไปเลย สึกไป”

สิ่งที่มันไม่เป็นประโยชน์นะ ในสังคมทุกสังคมมีคนดีคนชั่วปนกัน สิ่งที่มาต่อรองด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เป็นประโยชน์กับใครหรอก แต่สิ่งที่มันฝึกฝนขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์ขึ้นมา พระนันทะพาไปเที่ยวสวรรค์เลย พาไปเห็นนางฟ้าเลย

ดูสิ พระโมคคัลลานะก็ทำได้ สิ่งนี้มันทำได้ ฤทธิ์เดชนี่ทำได้ ทำได้เพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์กับศาสนา เพื่อให้มันเป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ทำโอ้อวด ทำเพื่อให้เป็นชื่อเสียง สรรพคุณ เป็นการประชาสัมพันธ์ ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยเพราะพระอรหันต์ไม่มีกิเลส พระอรหันต์ไม่มีความอยากดัง ไม่มีความต้องการอะไรทั้งสิ้น แต่แสดงธรรม

แสดงธรรมเพื่อให้ธรรมงอกงามในศาสนาของเราไง ในศาสนาให้ธรรมมันสถิตในหัวใจ ให้ธรรมได้แสดงตัวออกมา ไม่ได้เอาธรรมไปขังไว้ในตู้พระไตรปิฎกแล้วเอากุญแจล็อกมันไว้ว่าธรรมะเป็นอย่างนั้น ธรรมะเป็นอย่างนั้น แล้วเอากิเลสออกหากัน ออกหาผลประโยชน์ไง อ้างธรรมะ หาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง คดในข้องอในกระดูก คดในหัวใจ มันไม่เป็นธรรมหรอก

ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมานะ มันเป็นธรรมในหัวใจขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรม อะไรเป็นประโยชน์ที่เป็นธรรม ลูกเด็กเล็กแดง เรามีความเมตตากับมัน มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น

ศาสนาเรียวแหลมเพราะไม่มีการศึกษา ไม่มีผู้นำที่ดี ถ้าผู้นำที่ดีนะ ไม่ต้องไปศึกษาทางวิชาการทางโลกหรอก ทางวิชาการทางโลกนั้นพระต้องให้ทำอย่างนั้น ต้อง..ดิรัจฉานวิชา

ดิรัจฉานวิชานี่คือวิชาทำให้เนิ่นช้า ทำให้เนิ่นช้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่วงใยแต่เรื่องหลักเกณฑ์ของศาสนา หลักเกณฑ์ของศาสนาคือหัวใจของภิกษุ ถ้าหัวใจของภิกษุทรงธรรมทรงวินัยนะ มันเป็นประโยชน์กับศาสนา เป็นประโยชน์มากๆ เลย แล้วไปศึกษากับทางโลก ทางวิชาการทางโลก แล้วเอาสิ่งนั้นออกมาเพื่อจะให้ทันสังคม สังคมจะทันขนาดไหน

ลูกศิษย์ไปหาที่วัดนะ ด็อกเตอร์ทั้งนั้น เราถามเขาที่เอ็งเรียนกันมา เอ็งไปเรียนมาจากไหน เอ็งไปเรียนมาจากทางตะวันตกใช่ไหม? เขามีพระพุทธเจ้าไหม? เขาถือศาสนาอะไร? เอ็งไปเรียนกับเขามาทั้งนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าก็เป็นได้ ไม่มีศาสนาเขาเรียนด็อกเตอร์ศาสตราจารย์เขาจะสวมหมวกร้อยใบพันใบจะมีวิชาขนาดไหน เขาก็ทุกข์ เขาก็ไม่รู้จักตัวเอง รู้ไปหมดเรื่องทางวิชาการ เรื่องทางโลกสาขาต่างๆ นะ

แต่ถามว่ารู้จักตัวเองไหม? ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน? ก็เกิดมาจากแม่ไง ก็คลอดมาจากท้องแม่ ชีวิตนี้คืออะไร? ทุกคนบอกไม่รู้ ด็อกเตอร์อะไรก็ไม่รู้จักตัวเอง หลงตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเอง รู้แต่เรื่องข้างนอกหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการอย่างนี้หรือ? แล้วให้พระศึกษากันทางโลกมันเป็นประโยชน์อย่างนี้ เขาศึกษากันมา โลกเขาศึกษากันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปศึกษาแข่งกับเขา เขาหัวดำๆ เขาต้องหาวิชาชีพมาเพื่อประโยชน์กับโลก

ไอ้หัวโล้นๆ หัวโล้นๆ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส หัวโล้นๆ เข้าใจเรื่องของหัวโล้นไหม? หัวโล้นเข้าใจเรื่องอะไร? เรื่องศีลธรรม ก็ประกาศตนอยู่ว่าเป็นพระ เป็นพระผู้ประเสริฐแล้วใจมันประเสริฐไหม?

ถ้าใจเราประเสริฐนะ ดิรัจฉานวิชานี่ศึกษามาแล้วเป็นประโยชน์กับใคร? เป็นประโยชน์กับศาสนา เผยแผ่ธรรม ได้ภาษา ได้ภาษาพูดกับเขาได้ เขารู้เรื่อง แล้วภาษาใจมันอยู่ไหน? ภาษานี่สมมุติหมดนะ ภาษาใจเป็นภาษาสากล

เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการกับ เทวดา อินทร์ พรหม ใช้ภาษาอะไร? แล้วระหว่างพรหมกับเทวดาใช้ภาษาอะไร? มนุษย์ใช้ภาษาอะไร? สัตว์บนโลกใช้ภาษาอะไร? ได้ภาษา มันอ้างไปทั้งนั้น เพราะอะไร? เพราะใครก็แล้วแต่ ใครมีความจงใจมีความตั้งใจกับสิ่งใดก็ว่าสิ่งนั้นเป็นคุณประโยชน์

แล้วคุณประโยชน์ในประโยชน์ของศาสนา ธรรมนี่เป็นประโยชน์ที่สุดใช่ไหม? ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นประโยชน์ที่สุด โลกนี้อยู่กันได้ด้วยธรรมนะ อยู่ด้วยเมตตาธรรม อยู่ด้วยความเห็นจริง แล้วธรรมนี่ ธรรม ศาสนาก็เป็นธรรม ศาสนาก็เป็นศีล มีศีลมีธรรม

ศาสนาผู้สิ้นกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญจวัคคีย์ อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี แล้วจากพยายามอดอาหารมา ๔๙ วัน ออกมาฉันอาหาร เสียใจมาก ทิ้งไปเลยนะเพราะโลกเขามองว่าการทรมานกิเลส การอุกฤษฏ์ การประพฤติปฏิบัตินั้นเพื่อจะชำระกิเลส

เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรมานมาทุกอย่าง กลั้นลมหายใจ อดอาหารจนขนเน่า ต่างๆ นะ ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะอดอาหารนั้น คิดว่าการอดอาหารเพราะกิเลสมันอยู่ที่เราใช่ไหมก็ทำลายเรา เราคือร่างกายก็พยายามทำร่างกาย แต่ไม่ได้ภาวนาที่หัวใจเห็นไหม กลั้นเท่าไรมันก็ไม่ได้ จนทดสอบแล้ว ถึงที่สุดแล้วมันไม่ใช่ทาง ถ้าไม่ใช่ทางควรทำอย่างไร?

เลยจะกลับมาฉันอาหารก่อนเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ขึ้นมา สมบูรณ์ขึ้นมาแล้วค่อยกำหนดอานาปานสติเพื่อกำหนดเข้าไปเพื่อเป็นการแก้ไขที่ใจ กิเลสมันอยู่ที่ใจ กิเลสไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ปัญจวัคคีย์เห็นมาฉันอาหารของนางสุชาดานะ ทิ้งเลย หมดโอกาสแล้ว รอมา ๖ ปี อุปัฏฐากมา รอมาทุกอย่างเลย ทั้งๆ ที่อัญญาโกณฑัญญะขณะที่พยากรณ์เป็นพระอรหันต์อย่างเดียว เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว

พราหมณ์เขาพยากรณ์เป็น ๒ นะ ถ้าไม่บวชจะเป็นจักรพรรดิ ถ้าบวชจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัญญาโกณฑัญญะพยากรณ์หนึ่งเดียวเลย คนที่พยากรณ์ตั้งใจมาเต็มที่เลย พอมาเห็นฉันอาหาร ท้อใจ หมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หมดหวัง หมดหวังแล้ว ทิ้งหมดเลย กลับเลย

เจ้าชายสิทธัตถะ เพราะกำหนดมา กลั้นลมหายใจมาทุกอย่างมา จิตมันเต็มที่ เรื่องพลัง พลังงาน เรื่องฌานสมาบัติ เรื่องกำลังของจิตแรงมาก แต่มันไม่มีปัญญา มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันไม่มีสิ่งที่เป็นคุณธรรมขึ้นมาเลยเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรม ธรรมะยังไม่มี คนที่รู้จริงยังไม่มี ไม่มีใครรู้จริงเลย

กำหนดอานาปานสติมันจิตสงบเข้ามาไปถึงข้อมูลเดิมของใจ จิตถอนเข้าไปถึงตัวจิต บุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นข้อมูลของใจทั้งหมดเลย ตั้งแต่พระเวสสันดรไป ไปถึงไม่มีสิ้นสุด ยาวไปตลอดเลย นี่คืออดีต อดีตเห็นไหม อดีตสิ่งที่ข้อมูลของใจมันเป็นอดีต มันย้อนอดีตได้

ย้อนอดีตได้กลับมาแล้วมันก็ยังชำระกิเลสไม่ได้ กำหนดเข้าไปปฐมยาม มัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตมันยังมีข้อมูลอยู่ ยังมีการขับไสอยู่ ยังมีกิเลสอยู่จุตูปปาตญาณคือมันต้องเกิดตามแรงขับ คนตายแล้วไปเกิดอย่างนั้น อย่างนั้น ไปเห็นจุตูปปาตญาณก็ไม่ใช่อดีตอีกเพราะอนาคต

การเกิดคืออนาคตใช่ไหม อดีตคือสิ่งที่ล่วงมา อนาคตคือสิ่งที่มันเกิด ที่จิตมันจะไปเกิด ไม่ใช่ กลับมาอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณเห็นไหม อาสวักขยญาณคือในปัจจุบันของเรานี้ อาสวักขยญาณชำระอะไร? ชำระปัจจยาการ ชำระอวิชชา ทำลายนี่ อาสวักขยญาณ พอชำระอวิชชาหมดนั่นพระอรหันต์เกิดตรงนั้น

เวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ นัดกันว่าจะไม่รับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจว่ายังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ แล้วกลับมามักมากในอาหารมันจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? เข้าไปถึง ด้วยความเก้อเขินรับที่อยู่แล้วยอมลงฟัง องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าปฏิสันถารจนได้เวลาแล้วจะเทศน์ธัมมจักฯ ประกาศศาสนา

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันเป็นเรื่องส่วนตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา เทศน์ธัมมจักฯ คือประกาศสิ่งที่ตัวเองรู้ ประกาศศาสนาสัจจะความจริง ปฐมเทศนา พอเทศนาขึ้นมา ปัญจวัคคีย์จะไม่ฟัง ถ้ามันไม่ฟังมันจะเสียโอกาสไง

“เธอเคยได้ยินได้ฟังไหม? อยู่ด้วยกันมา ๖ ปีบอกว่าไม่เป็นพระอรหันต์ก็บอกว่าไม่เป็น สิ่งที่ไม่เคยเป็นไม่เคยโม้ ไม่เคยโอ้ ไม่เคยอวดเลย ปัจจุบันนี้เป็นพระอรหันต์จงเงี่ยหูลงฟัง ตั้งใจฟัง”

เงี่ยหูลงฟังนะ เทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา อัญญาโกณฑัญญะจิตมันพร้อมอยู่แล้ว ไตร่ตรองตามไป ไตร่ตรองตามไป

“สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

เห็นไหมเพราะจิตมัน ไตร่ตรองไปเพราะอะไร? เพราะวิชาการไม่มี พระไตรปิฎกไม่มี อะไรก็ไม่มีเพราะธรรมะยังไม่มี ไม่มีใครเทศน์ที่ไหน ไม่มีวิธีการที่ไหนทั้งสิ้นเพราะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นจะเอาที่ไหนมาเทศน์

ขณะที่เทศน์ออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์มาจากอะไร? ก็เทศน์ออกมาจากอาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์มาจากสิ่งที่รู้จริง พอเทศน์ออกมา ฟังครั้งแรก เพราะจิตมันพร้อมอยู่แล้ว มันรอคนชี้นำไง รอคนเปิดประตูให้ออก พอพระพุทธเจ้าชี้นำปั๊บ ผลัวะ! ออก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมาก

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

มีผู้รู้ตาม มีพยานแล้ว โลกมีพยานแล้ว ศาสนามีผู้รับสืบทอดต่อไป สิ่งที่ต่อไปเห็นไหม ต่อไปถึงอัญญาโกณฑัญญะเทศน์ต่อซ้ำไป ปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบันหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์หมดเลย พระอรหันต์ ๖ องค์แรก

สิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่ทำมา ศึกษามา ทำมาเพื่อความจริง ถ้าความจริงเกิดขึ้นมา นี่หลักของใจ ศาสนาอยู่ที่นี่นะ แก่นของศาสนาคือแก่นของหัวใจ แก่นของธรรม สิ่งปลูกสร้างสิ่งต่างๆ อาศัยกันทั้งนั้น สิ่งที่มีคุณธรรมนะ สร้างวัตถุมันสร้างง่าย สร้างใจคนสร้างยาก สร้างใจคนสร้างยาก

แต่ครูบาอาจารย์ของเราในศาสนาพยายามสร้าง ถ้าสร้างคนขึ้นมาแล้วจะไม่มีคนที่ไปกราบฤๅษีชีไพรอย่างนั้นหรอก จะไม่มีคนห่มผ้าเหลืองไปเที่ยวกราบคนนู้น กราบคนนี้อย่างนั้นได้ มันเป็นไปไม่ได้ไง มันเป็นสิ่งนั้นไปไม่ได้เลย สิ่งที่มันเป็นอยู่นี้เพราะข้างในมันกลวง เพราะศึกษากันมาแล้วก็อ้างนะ ศึกษาเอาแผ่นกระดาษกัน เหมือนโลกเลย

โลกศึกษาเพื่อเอาแผ่นกระดาษกัน แล้วก็ไปทบทวน จะจบวิชาการไหนก็แล้วแต่นะ ต้องทบทวน ต้องทบทวน ศึกษามาแล้วจบกี่ประโยค ร้อยประโยคก็ได้ เอาแผ่นกระดาษกันคนละใบ คนละใบ ทั้งชีวิตเลย ศึกษามาทั้งชีวิตเอากระดาษใบหนึ่ง แล้วรู้จริงหรือรู้ไม่จริงอีกเรื่องหนึ่งนะ จะปฏิบัติจริงหรือปฏิบัติจริงไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง

มันถึงเห็นข่าวกันอย่างนั้นไง ศาสนาเสื่อม ไม่ได้เสื่อมที่ตัวศาสนา เวลาคุยโม้กัน ศาสนาพุทธเสื่อมไม่ได้หรอก ศาสนานี้มันสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีเสื่อม พูดอย่างนี้พูดเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อตัวเอง ให้ตัวเองเอาตัวรอดไง ตัวเองทำผิดแล้ว ตัวเองไม่เข้าใจ ทำไมไม่ค้นคว้าล่ะ? ทำไมไม่ทำของเราขึ้นมา? ทำไมไม่ศึกษาของเราขึ้นมา?

ถ้าศึกษาขึ้นมาอริยสัจมีอันเดียวนะ เวลาพูด ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอย่างยิ่ง เวลาสนทนาธรรมกัน เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นเป็นประธานสงฆ์ในที่บ้านผือ เวลาภิกษุออกมาจากป่าไปคุยกัน โอ้โฮ นี่เห็นไหม หลวงตาท่านอยู่ที่นั่น ใครมาคุยกับหลวงปู่มั่นท่านจะฟัง จะฟัง แล้วใครขึ้นไปเหมือนกันเลย

เหมือนกับพระอัญญาโกณฑัญญะเวลาพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำอย่างนั้นทำอย่างนั้น ถ้าผิดมันจะพูดได้อย่างไร ผิดพูดไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน แล้วมาสละมาทิ้ง มาสละมาทิ้ง มาเป็นสาวะกะ สาวกสาวะกะนี่ค้นคว้าธรรมขึ้นมา เพราะค้นคว้าธรรมขึ้นมา

การสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ มันเตรียมพร้อมมา มันมีพลังงานในหัวใจนั้นมา ใครจะมาพูดต่อหน้าให้รับรอง เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นเวลามาพูดจะฟัง จะฟังนะ ครูบาอาจารย์เราจะฟังสิ่งนั้น แล้วผิดถูกท่านจะแก้ไข ท่านจะแก้ไข ท่านจะส่งเสริม ท่านจะทำให้เกิดศากยบุตร ให้เกิดสิ่งที่สืบต่อมา

หลวงตาเวลาท่านสร้างพระ ท่านพยายามสร้างพระ ให้เข้ามาฝึกฝน ให้ได้มีหลักมีเกณฑ์ แล้วให้ออกไป ให้ออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์กับศาสนา ถ้าศาสนามีหลักมีเกณฑ์ มันจะไปทำสิ่งที่เป็นข่าวเป็นคราวกันอย่างนั้นไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก มันน่าสังเวช ที่เขาทำกันเพราะเขาไม่รู้เพราะข้างในมันกลวง

เห็นเขาแสดงกิริยาอย่างนั้นก็ไปกราบไปไหว้ ไปไหว้เขา มันไร้สาระมาก ไปกราบไปไหว้เขานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธอาฬารดาบสมาแล้ว ฤๅษีชีไพรปฏิเสธมาหมดแล้ว เราเกิด เรามีพลังงาน เรามีสมาธิด้วย แล้วเรามีปัญญาด้วย ปัญญาที่แก้ไขกิเลสด้วย ศาสนานี้เป็นศาสนาที่ประเสริฐ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เราเป็นพระอรหันต์ แล้วในลัทธิศาสนาอื่นๆ มีใครบอกเป็นพระอรหันต์บ้าง มันมีแต่สักหน้าผากว่ามันเป็นพระอรหันต์ มันลายเสือ ฤๅษีชีไพรห่มหนังเสือ แล้วก็ไปกราบไปไหว้กัน สังเวช สังเวชมาก มันน่าสังเวช คุณธรรมในใจมันเอามาจากไหนกัน

ถ้าคุณธรรมในหัวใจ มันไม่หวั่นไหวไปกับโลกหรอก โลกก็เป็นโลกอย่างนั้น ความเห็นของโลกนะ เทคโนโลยีมันมีมากกว่านี้อีก ถ้าศาสนาพุทธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเห็นไปสั่งสอนกันเรื่องอภิญญาเรื่องความรับรู้อย่างนั้นนะ ศาสนาพุทธจะไม่มีค่าเลย เพราะศาสนาพุทธมันสู้เทคโนโลยีปัจจุบันนี้ไม่ได้หรอก

เทคโนโลยีปัจจุบันนี้เขาสร้างไปเลยไปเกินความรู้อภิญญาด้วย มีเครื่องจับเท็จ มีอะไรทุกอย่างพร้อม แล้วใครค้นพบพ้นทุกข์บ้าง? แล้วเครื่องจับเท็จเดี๋ยวมันก็พัง ทุกอย่างก็พัง ก็ซ่อม ก็บำรุง เสียเงิน เสียทอง เขาคิดกันมาแล้วก็มาเอาเงินในกระเป๋าเราทั้งนั้น แล้วเราก็มาใช้กัน ใช้เป็น ใช้ไม่เป็น ซื้อเครื่องมาใช้ไม่เป็นอีกนะ ซื้อเครื่องมาโกงกันกินกัน เอาผลประโยชน์กัน บ้าบอคอแตกประสาโลก

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สั่งสอนเรื่องอริยสัจเพราะใจนี่มันเรื่องอริยสัจใช่ไหม เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยวิธีการของมรรค ๘ นี่ศาสนาพุทธ

แล้วบอกว่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ มันจะเอาแต่ข้างนอกกัน จะไม่เข้าใจอะไรกันเลยแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ มันไม่มีหลักเกณฑ์ แล้วเราอยากได้ เราอยากมีคุณธรรม แล้วพื้นฐานของมัน อย่างที่เขาเตรียมตัวคนไข้ ศีลธรรมมันต้องสะอาด

ถ้าศีลไม่สะอาดนะ เราเป็นคนทำใช่ไหม? เราเป็นคนทำความผิด แล้วก็บอกพุทโธ พุทโธ กิเลสมันจะบอกว่าเอ็งก็หลอกตัวเอง เมื่อกี้เอ็งยังผิดอยู่เลย สมาธิลงไม่ได้หรอก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิมันก็เป็นมิจฉาสมาธิ โจรมันจะปล้นนะ มันวางแผนปล้นกัน มันปล้นธนาคาร เจ้าหน้าที่งง มันคิดได้อย่างไร? มันใช้สมาธิไหม?

นักวิทยาศาสตร์ใช้สมาธิไหม? สมาธินี่มันมีสัมมา มีมิจฉานะ ถ้าสมาธิเป็นมิจฉา ดูสิไอ้พวกที่เขาดูหมอ ดูอะไรกัน เขาใช้สมาธิไหม? แล้วเวลาเขาทำคุณไสยกัน เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์ไม่เชื่อนะว่าเขาทำคุณไสยกัน มี ไม่เชื่อหรอก แล้วเวลาตัวเองโดนขึ้นมาจะรู้ว่ามีหรือไม่มี

เราปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่มีแสงแดด ออกไปสิ ออกไปสิ แสงแดดมีไม่มี ทุกอย่างมีหมดถ้ายังมีหัวใจอยู่ มีหัวใจอยู่ หัวใจที่มันทำความสงบได้ มีพื้นฐาน มันทำได้ เป็นมิจฉาก็ทำให้คนเดือดร้อน ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก ครอบครัวนี่มันโดนครอบงำด้วยคุณด้วยไสยด้วยมนต์ดำ แต่ถ้ามีศีลขึ้นมาจะไม่มีสิ่งนั้นเลยเพราะศีล

ความคิดเป็นอกุศลมันไม่เกิดจากใจนั้น มันเป็นมโนกรรม กุศล อกุศลจากใจ แต่ถ้ามันมีตัวเร่ง มีกิเลสอยู่ มันเกิดได้เป็นบางครั้งบางคราวเพราะเราไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคาขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันควบคุมได้มากๆๆๆๆ ขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ

โสดาบันก็ได้ส่วนหนึ่ง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ สกิทาได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พระอนาคา ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ถึงที่สุดพระอรหันต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เราเห็นตัวเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดจากใจดวงนี้ไม่ได้อีกเลย ไม่ได้อีกเลย”

แล้วมารมันจะมาเกิดมันจะครอบงำได้อย่างไร? ความคิดเป็นอกุศลจะครอบงำได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้เลย แล้วมันเป็นอย่างไร? เวลาพูดถ้าไม่มีคู่สนทนาคือไม่มีผู้ที่ปฏิบัติถึงกัน โม้ได้ตลอด ตามมันไม่ทันหรอก โม้ให้คนฟังเชื่อได้หมด แต่ขณะที่เวลาประพฤติปฏิบัติพระกับพระเสมอกัน พระกับพระที่ปฏิบัติเท่ากัน เสมอกัน

เวลาคุยธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา กันนี่ สิ่งนี้ผิดกันไม่ได้ ผิดกันไม่ได้ เวลาหลวงปู่มั่น พระเข้าไปที่บ้านผือ ผิดกันไม่ได้เลย อริยสัจเป็นอันเดียวกัน ตรวจสอบได้หมด ตรวจสอบได้ มันจะเป็นอันเดียวกัน ถ้าไม่เป็นอันเดียวกัน ศาสนาพุทธมันก็มีหลายศาสนาสิ พระพุทธเจ้าก็มีหลายองค์สิ

พุทธเจ้าเห็นไหม ภัทรกัป ๕ องค์ สมณโคดมเป็นองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสไปข้างหน้า แล้วนี่ก็ว่ากันไปโดยประสาสมมุติเห็นไหม กึ่งพุทธกาลแล้วไม่มีพระอรหันต์ ถ้ากึ่งพุทธกาลกาลเวลา ๒,๕๐๐ ปีไม่มีพระอรหันต์ ๕,๐๐๐ ปีไปแล้วพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ไม่ได้หรอก เพราะกาลเวลามันลบหมดแล้ว ทำให้วงจรของจักรวาลเป็นไปไม่ได้เลย บ้าบอคอแตกกันไป

“อานนท์ เมื่อใดมีผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอยู่ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

เพียงแต่ถึงเวลา พอมันล่วงเลยไป คนใจมันหยาบเอง มันไม่เชื่อ มันไม่ทำ มันเข้าถึงไม่ได้ แต่ถ้าเข้าถึงได้ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าไม่มีศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ได้เองเพราะไม่มีร่องมีรอยแล้วตรัสรู้เอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วยังวางบัญญัติศาสนาไว้ต่อเนื่องกันไปได้

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่มีกาล ไม่มีเวลา อกาลิโก กาลเวลาสมมุติกัน แล้วก็บอกเวลาอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ เวลาอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น โม้ทั้งนั้น โม้กันไป ใครมีอำนาจเหนือกาลเวลา? ใครมีอำนาจเหนือพระอาทิตย์? ใครมีอำนาจเหนือดวงดาว? ใครมีอำนาจเหนือ? ใครมี? ไม่มีทั้งนั้น ไม่มีใครมีอำนาจเหนือดวงดาว แล้วดวงดาวมีประโยชน์อะไร?

ดวงดาวนี่เป็นพรหมศาสตร์เป็นสถิติ สถิติจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าหัวใจที่มันพ้นไปแล้ว ไม่มีร่องมีรอย ไม่มีภพ ไม่มีสิ่งต่างๆ ให้มากำหนด ใครมันจะมีอำนาจเหนือสิ่งนี้ ธรรมะเหนือทุกอย่าง แต่เราไปยอมจำนนกับเขาเอง เราไปยอมจำนน เราไปยอมรับเขาเอง แล้วยอมรับเองมันก็อยู่ใต้อำนาจของเขา อยู่ใต้อำนาจของเขาภาวนาไปมันก็ไม่พ้นจากกิเลส

ถ้าพ้นจากกิเลสแล้วทุกอย่าง ทุกอย่าง ธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือทั้งหมด ธรรมะเหนือสิ่งต่างๆ ไม่มีอะไรเหนือธรรมะได้เลย

แต่เราเข้าไม่ถึงธรรมะเอง เอาแต่เงาของธรรม เอาแต่ตู้พระไตรปิฎกมากราบมาไหว้กัน แล้วศึกษาขึ้นมา ศึกษาด้วยสัญญา ศึกษาด้วยข้อมูล แล้วไปเจอเขามีฤทธิ์มีเดชไปกราบเขาอีก เศร้าใจมาก มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้า นี่ศาสนาเรียวแหลม ดูเอา มันเรียวแหลมที่ไหน มันเรียวแหลมอยู่ที่ผู้ที่รักษานี่ไง มันเรียวแหลมที่ภิกษุที่รักษาธรรม

นี่เวลาบวชแล้วลูกมาบวช พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป ได้เพราะอะไร? ได้เพราะว่าลูกมา ที่นั่งอยู่นี่มาจากไหน? มาจากไข่ใบเดียวของแม่ทั้งนั้นเลย แล้วมาจากปฏิสนธิจิต มาจากเสปิร์มของพ่อ

สิ่งเหล่านี้เราปฏิสนธิขึ้นมา แล้วเจริญเติบโตขึ้นมา กินเลือด กินน้ำนม กินเลือดในอก แล้วเอาเลือดเนื้อเชื้อไขมาค้ำศาสนา มาค้ำศาสนาไว้เหมือนมดแดงเฝ้ามะม่วง มดแดงเฝ้ามะม่วง มาบวชเป็นภิกษุมาเฝ้ารักษาศาสนาไว้ แล้วคนที่เอามะม่วงมาผ่ากิน คนนั้นเขาได้ประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน ใครบวชเข้ามาแล้วในเมื่อมันมีมะม่วงอยู่ใช่ไหม? มันมีธรรมวินัยนี้อยู่ แล้วใครมาศึกษาธรรมวินัย แล้วบรรลุธรรม บรรลุธรรมขึ้นมา มันได้กินมะม่วงนั้น ผู้ที่บวชเข้ามาในศาสนาได้ ๑๖ กัป เพื่อจรรโลงศาสนา เพื่อรักษาศาสนากันไว้ เพื่อรักษาร่องรอยกันมา แล้วรักษาร่องรอยขึ้นมา แล้วเข้าถึงเนื้อไหม? เข้าถึงธรรมไหม? ถ้าเข้าถึงธรรมจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าประโยชน์กับใจดวงนั้นเข้าถึงธรรมแล้วมันเป็นประโยชน์กับสังคมโลก มันเป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัยของโลก เป็นประโยชน์อย่างนั้น

ถาม : ดูข่าวทีวีเห็นพระสงฆ์กราบฤๅษี ดูข่าวบอกว่าไม่สมควร

หลวงพ่อ :มันไม่สมควร มันไม่สมควรจริงๆ นี้เพียงแต่ว่าถ้ามันสมควรจริงๆ มันต้องระลึกย้อนไป ย้อนกลับว่าเขามีความคิดอย่างไรเขาถึงไปกราบ เพราะเขามีความคิดของเขา เพราะเขาเรรวนของเขา นี่ไงขอนิสัย

เราไปหาพระ เวลาไปหาพระ เราไปหาครูบาอาจารย์ต้องขอนิสัย ขอนิสัย ขอนิสัยคืออยู่กับท่าน ภิกษุนะ ตามกฎหมายนะ โลกนี่ ๒๐ ปีใช่ไหมบรรลุนิติภาวะ ถ้า ๒๐ ปีขึ้นแล้วจะเซ็นได้จะทำอะไรได้ทางนิติกรรมได้ ถ้าต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องมีผู้ดูแล

ภิกษุถ้า ๕ พรรษาขึ้น ๕ พรรษาขึ้นถึงต้องเป็นผู้ฉลาดนะ ถ้าผู้ฉลาดก็ว่ากันไป แต่ถ้าตามตีความของเรา ผู้ที่ฉลาดหมายถึงว่าท่องปาติโมกข์ได้ พอท่องปาติโมกข์ได้ ปาติโมกข์นี่เป็นรัฐธรรมนูญของพระ แล้วนี่ศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ แต่ ๒๒๗ นี่ผิดไม่ได้ แล้วต้องรู้ แล้วสิ่งต่างๆ นี่มันยังตามมา

ถ้ารู้แล้ว ท่อง ใครไปท่องปาติโมกข์ พระนี่ถ้าท่องปาติโมกข์แล้วเหมือนกับเรารู้กฎหมายเหมือนเราจบนิติศาสตร์ พอรู้กฎหมายทำอะไรผิดถูกมันก็รู้ พอรู้ปั๊บเวลาออกไปถึงจะไม่ต้องขอนิสัยได้ บรรลุนิติภาวะไง ถ้าการบรรลุนิติภาวะของสงฆ์ ๕ พรรษาขึ้นเป็นผู้ฉลาด ออกไปเที่ยวธุดงค์ได้ ออกไปอยู่ตัวคนเดียวได้

แต่ต่ำกว่านั้นต้องอยู่กับอาจารย์ อาจารย์จะดูแลรักษา อุปัชฌาย์อาจารย์จะเป็นผู้รักษาสงฆ์ แล้วถ้าเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนี้ต้องจับอุปัชฌาย์อาจารย์สึกให้หมดเพราะไม่ดูแลสัทธิวิหาริกของตัว ไม่สั่งสอน ไม่ดูแลเห็นไหม ธรรมวินัยเขามีกฎบังคับกันไว้หมดแล้ว เพียงแต่ภิกษุเรามันไม่รับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบกัน

ถ้ารับผิดชอบขึ้นมา เวลาเราพูด ถ้ารับผิดชอบเราคนหรือครูบาอาจารย์ที่มีความรักศาสนาจะไปรับผิดชอบทั้งโลกก็ไม่ได้ มันรับผิดชอบไม่ได้เพราะในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลวตลอดไป แต่พูดโดยหลักการ พูดโดยหลักการอย่างนี้ ถ้าจะเอาเรื่องอย่างนี้มาพูดนะ เอาแต่เรื่องสิ่งที่มันมาพูด มันพูดได้ไม่มีจบ การทำความผิดของพระ ความผิดของสงฆ์ต่างๆ มันมีตลอดไปนะ การทำความผิดพลาด

ฉะนั้นถ้าเห็นอย่างนั้นปั๊บเราก็ไม่เห็นด้วย แล้วเราก็ต้องดูแลกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มารพยายามดลใจให้นิพพานตลอด

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน”

มารก็เที่ยวดลใจตลอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เผยแผ่ธรรมพยายามจะให้ศาสนานี้มั่นคง ถึงที่สุดวันมาฆะบูชาไง มาดลใจตลอด ดลใจตลอด

“มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีกสามเดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

โลกธาตุนี่หวั่นไหวหมดเลย นี่ฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แล้วมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเราก็ต้องดูแล เราก็ต้องรักษา เราก็ต้องช่วยเหลือของเรา เราแก้ไขของเรา เราทำของเรา ทำตามกำลังของเรา แล้วผู้ปกครองเขาขึ้นมาเอาตำแหน่งกันแล้วทำไมเขาไม่ดูแล เขาไม่รักษา มันต้องดูแลรักษานะ

นี้เทศน์เท่านี้ จะตอบปัญหาละ

อันนี้เทศน์ไปเลย ดูข่าวทีวีเห็นภาพที่ภิกษุสงฆ์กราบฤๅษี ผู้อ่านข่าวบอกว่าไม่สมควร อยากทราบและอยากให้ขยายความ นี่ขยายความแล้ว

อันนี้ปัญหาใหม่ สดๆ ร้อนๆ เลย

ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่าพระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิตไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อเทียบกับที่หลวงตาบอกว่าจิตนี้ไม่มีวันตาย คำสอนนี้เหมือนกันหรือไม่หรือมีความหมายต่างกันอย่างไร?

หลวงพ่อ : เราก็พูดภาษาว่าบ้าๆ เรานี่แหละ แล้วเราไปเทียบกับหลวงตา มันประสาเรามันพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะ เพราะหลวงตาเราเคารพบูชาแล้วเราจะไปพูด ไปเอาคำพูดท่านกับคำพูดเรามาเปรียบเทียบกัน มันพูดออกไปแล้ว มันก็ทุเรศ แต่นี้ที่เราบอกว่าพระอรหันต์ที่ไม่มีจิต ไม่มีจิตที่เราพูดของเรา ภาษาเรา เราพูดถึงเวลาเขาหลงกันไงว่าจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ มันโม้กันทั้งนั้น

ถ้าจิตพระอรหันต์นะ จิต คำว่าจิตก็คือตัวภพ ถ้าใครมีจิตอยู่ก็ยังเป็นกิเลสอยู่ มันจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? พระอรหันต์ ถึงว่าพระอรหันต์ไม่มีจิต แต่ถ้าเป็นภาษาสมมุติเห็นไหมอธิบายกัน นี้คำว่าหลวงตาท่านบอกว่า “จิตไม่มีวันตาย จิตไม่มีวันตาย”

คำว่าจิตนี้ไม่มีวันตายมันไม่ใช่ที่ท่านพูดนะ คำว่าจิตนี้ไม่มีวันตาย จิตของปุถุชนก็ไม่มีวันตาย จิตของใครก็ไม่มีวันตาย จิตของคนมัน สมมุติเราเป็นมนุษย์ เราตายจากมนุษย์จิตมันตายไหม? จิตมันออกจากร่างไปมันก็ไปเสวยภพใหม่ ภพใหม่ จิตไม่มีวันตาย

แต่คำของท่าน ท่านไม่ได้บอกว่าจิตไม่มีวันตาย คำว่าจิตไม่มีวันตายท่านพูดถึงจิตปุถุชนนี่แหละ จิตพวกเราไม่มีวันตายหรอก แต่เราเป็นมนุษย์ชื่อนาย ก. เราตายจากนาย ก. จิตไปเกิดอีก ถ้าเราสร้างบุญไว้เราไปเกิดเป็นมนุษย์อีกเห็นไหม

จิตของนาย ก. ตาย ไปเกิดเป็นนาย ข. จิตของนาย ก. กับจิตของนาย ข. เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร? เราเป็นนาย ก. เราสร้างบุญไว้ รักษาศีลไว้สมบูรณ์ ศีล ๕ สมบูรณ์ เราตายจากนาย ก. เราไปเกิดเป็นนาย ข. จิตเราตายไปแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เป็นนาย ก. พอตายไปก็ไปเกิดอีกเป็นนาย ข. เพราะนาย ข. นี่บุญกุศลที่สร้างจากนาย ก. มันก็ส่งผลไปเพราะเป็นอันเดียวกัน เพราะบุญกุศลหรือสิ่งที่คุณงามความดี

นี่การกระทำทำออกจากความรู้สึก ทำออกจากใจ พอใจมันทำอะไรไปมันก็กลับมาที่ใจนั้น พอใจมันตาย ตายจากนาย ก. นาย ก. ตาย แต่จิตไม่ตาย เห็นไหม คำว่าจิตนี้ไม่มีวันตาย นาย ก. ตาย จิตมันตายไหม จิตนี้ก็กลับไปอยู่สภาพเดิมของจิตที่เป็นจิตปฏิสนธิ จิตปฏิสนธินี้ถ้าเกิดเป็นโอปปาติกะไปเกิดเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาไปเลย

แต่เขาไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา เขากลับมาเกิดเป็นนาย ข. ถ้าจิตนี้ได้สร้างบาป อกุศลไว้ จิตนาย ก. ได้ทำบุญ-บาปอกุศลไว้ พระเทวทัตจะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไม่ถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ต้องโดนธรณีสูบ ไม่ต้องไปผ่านยมบาล ถ้าจิตของคนที่ทำความชั่วสมบูรณ์ มันปุ๊บลงไปเป็นความชั่วโดยสมบูรณ์เลย

จิตเขาสร้างคุณงามความดี จิตตคฤหบดีเห็นไหมที่ว่าให้เทวดา ให้พระมาสวดมนต์จะตายเห็นไหม คนที่ทำคุณงามความดีไว้มาก เวลาตายเหมือนไปปิ๊กนิคนะ สวรรค์เปิดหมด รถม้า รถทิพย์จะมารับไปเลย ขึ้นสวรรค์ไปเลย แต่ถ้าจิตของคนโดยที่ว่าสร้าง ทำดีทำชั่วนี่ต้องผ่านยมบาล ไปตัดสินต้องไปศาล ยมบาลจะตัดสินว่าจะไปทางไหน

ส่วนใหญ่จะไปทางไหน ถ้าจิตเลวมากๆ ไปเลย โดยหลัก โดยหลักวัฏวนอย่างนี้ โดยหลักมันมีอย่างนี้ โดยหลักเราเป็นโดยหลัก โดยหลักต้องผ่านยมบาล ต้องไปเป็นขั้นตอนโดยหลัก แต่แอคซิเดน โดยส่วนย่อย โดยส่วนย่อยนี่มันเลวชัดๆ หรือมันดีชัดๆ มันจะพ้นโดยหลักนี้ มันจะออกจากนี้ไป จิตที่ไม่มีวันตายของท่าน คือจิตอย่างนี้

แต่ถ้าพูดถึงหลวงตา ท่านพูดถึงนิพพาน ท่านไม่พูดว่าจิตไม่มีวันตาย ท่านพูดถึงธรรมธาตุ จิตปุถุชนก็ไม่มีวันตาย จิตพระอรหันต์ก็ไม่มีวันตาย พอมาถึงธรรมธาตุแล้วนิพพานมันถึงมีอยู่ไง ผู้ปฏิบัติแล้วมันถึงไปเสวยวิมุตติสุขไง ถึงบอกเราปฏิบัติกันแล้วถ้ามันถึงที่สุดแล้วมันเป็นวิมุตติสุข มันจะเป็นสุขอย่างไร? ที่ว่าไปสวรรค์ มันจะไปอย่างไร?

จิตไม่มีนี้ จิตพระอรหันต์ไม่มี คำว่าจิตพระอรหันต์ไม่มี เราพูดถึงจิตพระอรหันต์เลย แต่จิตที่ไม่มีวันตายนี้ท่านพูดบ่อย ท่านย้ำบ่อย แล้วถ้าพูดถึงของท่าน ท่านจะบอกว่า

“จิตของท่านเป็นธรรมธาตุ”

ไม่ใช่จิต ธรรมธาตุ เป็นธรรมะเป็นธาตุ ธาตุธรรม ไม่ใช่จิต ถ้าเป็นจิตนะ ทีนี้เวลาท่านพูดอย่างนั้นปั๊บ เวลาสมมุติไง สมมุติหมายถึงว่าจะพูดกับเด็กๆ เออ ก็จิตเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น เป็นคำสมมุติ แต่ความจริงมันเป็นธรรมธาตุ แต่นี้พอเป็นธรรมธาตุท่านจะใช้บอกเป็นธรรมธาตุท่านจะบอกว่าถ้าเป็นธรรมธาตุสมบูรณ์ สมควร พอดี

แต่ถ้าเป็นจิตไม่มีวันตายนี้เป็นการยืนยันว่ามันยังเวียนตายเวียนเกิด จิตปุถุชนก็ไม่มีวันตาย จิตพระอรหันต์ก็ไม่มีวันตาย แต่จิตอันหนึ่งไม่มีวันตายโดยทุกข์ๆ ร้อนๆ แบกโลกโดนกิเลสเหยียบย่ำ ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่มีวันตาย ตกนรกอเวจีหมดจากกรรมมันก็โผล่ขึ้นมา ไปเกิดบนพรหม หมดวาระจากพรหมมันก็วนไปวนมา จิตไม่มีวันตาย จิตปุถุชนก็ไม่มีวันตาย จิตพระอรหันต์ก็ไม่มีวันตาย จิตใครก็ไม่มีวันตายทั้งนั้น

เพียงแต่วาระ วาระที่ไปเกิดเป็นอะไร วาระนี้หมดวาระ หมดวาระของเทวดา หมดวาระของพรหม หมดวาระของนรกอเวจี หมดวาระมันก็หมุนไปเรื่อยๆ นี่คือวัฏฏะ

แต่ทีนี้เพราะว่าคำถามมันถามผิด มันถามผิดเพราะว่าถ้าบอกว่าจิตพระอรหันต์ไม่มี นี่เราพูดถึงพระอรหันต์ แต่คำว่าจิตไม่มีวันตายนี่ท่านพูดถึงอย่าง แล้วท่านพูดของท่าน ถ้าท่านบอกว่าจิตคือไม่มีวันตาย จิตไม่มีวันตายให้เราว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วไง ทำดีต้องได้ดีเพราะทำดีมันก็จะมาสะสมอยู่ที่เรา ทำชั่วมันก็จะมาสะสมอยู่ที่เรา มันสะสมอยู่ที่เราทั้งนั้น

ถาม : พระอรหันต์ที่ผ่านอริยสัจ มรรค ๔ ผล ๔ แล้วจะมีความสามารถทดสอบสิ่งนอกเหนือจากอริยสัจที่ตนฝึกมาได้แล้วได้ไหม? พูดง่ายๆ ก็ที่ไม่เคยลอง

หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้นะพูดไปพูดมามันเป็นวัวพันหลัก (หัวเราะ) มันจะเป็นวัวพันหลักละ พระอรหันต์ที่ผ่านอริยสัจแล้ว การผ่านอริยสัจนี่นะ มรรค ๔ ผล ๔ เป็นงานที่ละเอียดมาก มันก็เหมือนกับเราทำวิจัยแต่ละเรื่อง เราทดสอบแต่ละเรื่อง กว่าผลจะตอบแต่ละเรื่องได้

เช่น วัคซีนไข้หวัดนก เราต้องทดสอบ เราต้องมีเชื้อมีอะไรต่ออะไร เราต้องทำของเรา กว่าจะเป็นวัคซีนไข้หวัดนก ยาที่ป้องกันการไข้หวัดนกที่มันจะกลายพันธุ์ แล้วจะเข้าไปถึง เข้าไปแพร่พันธุ์ไปถึงมนุษย์ได้ จะทำให้มนุษย์ตายทั้งโลก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทาง วิชาการเขาพยายามค้นคว้ากันอยู่เพราะห่วงชีวิตของมนุษย์

การที่พระภิกษุองค์หนึ่งจะประพฤติปฏิบัติ ผ่านโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล แต่ละขั้นแต่ละตอนมันยิ่งกว่าการวิจัยทางโลกนี้หลายเท่านัก แล้วเอามาพูดเล่น พูดหัวพูดเป็นของง่ายๆ พูดเป็นของ มันชุบมือเปิบกันเกินไป

สิ่งที่ตามความเป็นจริงกว่าจะเป็นไปได้แต่ละชั้นแต่ละตอนมันละเอียดอ่อน มันต้องค้นคว้า มันต้องมีความจริงจังกันมหาศาลนะ ถ้ามีความจริงจัง ถึงเวลาพูดมันเหมือนกับการพูดด้วยความเคารพ การพูดด้วยความจริงจัง สิ่งต่างๆ ผ่านมานี่กว่าจะผ่าน สิ่งที่มันผ่านนะ ผ่านมรรค ๔ ผล ๔ ได้ สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด

แล้วสิ่งที่ประเสริฐที่สุด การลงทุนลงแรงกันขนาดนั้นนะ แล้วจะบอกว่าให้มาทดสอบเรื่องข้างนอกมันก็เหมือนอาหารที่มีประโยชน์กับอาหารที่ไม่มีประโยชน์ คนที่กินอาหารที่มีประโยชน์แล้วเขาจะไม่ไปกินอาหารที่เป็นพิษหรอก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันเป็นอยู่นี่ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะ เวลาส่งออก กองทัพธรรม กองทัพธรรม ใครที่จะพิจารณา ใครทำอะไรนี่? ถ้าออกนอกลู่นอกทางท่านจะบังคับ ท่านจะคอยดูแล

เวลาท่านเทศนาว่าการ ขณะที่ท่านเทศน์อยู่นะ ลูกศิษย์ของท่าน ท่านจะบอกเลย ให้ลูกศิษย์ใช้จิตกำหนดดูพระที่นั่งฟังเทศน์ว่าไอ้พวกนี้มันเป็นโจรหรือเปล่า? ฟังเทศน์อยู่เป็นโจรหรือเปล่า คือกำลังฟังเทศน์ ท่านเทศน์ถึงเรื่องอริยสัจ เทศน์ถึงการแก้ไขกิเลส มันคิดนอกลู่นอกทางไง ให้พระนั่งควบคุมอยู่ เวลาควบคุมอยู่ พอกำหนดเห็นท่านจะเตือนเลย

คำเตือนอย่างนั้นมันเอามาใช้ประโยชน์นะ อภิญญานี้เอามาใช้ประโยชน์ขณะที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์คือควบคุมใจให้มันสนใจอยู่ในธรรม อยู่ในการฟังเทศน์ ถ้าอยู่ในการฟังเทศน์มันก็เป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์นั่นสิ่งที่ทำอย่างนั้นแล้วพยายามบังคับเข้ามาให้อยู่ในอริยสัจ จะบอกว่าการประพฤติปฏิบัติเวลาจิตมันเข้าไป มันส่งออกหมด

โดยพลังงานธรรมชาตินี่มันส่งออกหมด มันจะเอาอะไรไปรู้เรื่องสิ่งต่างๆ การบังคับให้ไม่รู้ให้เข้ามาในอริยสัจนี่แสนยากแล้ว แล้วพอเข้ามาถึงอริยสัจมันยังสมบุกสมบัน มันยังไปอีกมหาศาลเลย แล้วพอมันผ่านมรรค ๔ ผล ๔ จะมาทดสอบอะไร? เขาไม่มาทดสอบกันหรอก เขาไม่มีใครมาทดสอบหรอกเพราะมันเป็นเรื่องของสกปรก

อย่างเรานี่นะ เราเป็นคนดี เราเป็นคนดี เราทำมาหากินขึ้นมาจนเราเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีนี่เราอยากทดสอบไปเที่ยวบาร์ไหม? เราอยากทดสอบไปเล่นการพนันไหม? ไปเล่นการพนันบ่อน เราจะไปเล่นการพนันตามบ่อน นี่เหมือนกัน คำถามอย่างนี้มันเหมือนกับอย่างนั้น เหมือนคนดีๆ จะไปเล่นการพนันไหม?

เรามีเงินมีทองไปเล่นการพนัน พอมันติดการพนันเดี๋ยวมันก็พากันเสีย พากันเสียเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ใช่ไหม? เราไปเล่นการพนันผีพนันมันจะสิงใช่ไหม? แต่พระอรหันต์ใจท่านมันไม่มีกิเลส พอไม่มีกิเลสสิ่งที่อริยสัจที่ผ่านมรรค ๔ ผล ๔ มันมีคุณประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามานะ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์สร้างสมมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างมาขนาดไหน สละมาพอแรงแล้ว แล้วพอสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทดสอบอะไรอีก สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มา ตามพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นของเล็กน้อย รู้มากกว่านั้นอีก รู้มหาศาลเลย รู้โลกนอก รู้เข้าใจไปหมด แต่ไม่เอามาพูด มันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

เพียงแต่เวลาที่ท่านเทศน์ออกมามันเป็นคนถาม หนึ่งคนถาม สองผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันหลงผิด ท่านจะเปรียบเทียบเลย ดูสิในสมัยพุทธกาลมากมายมหาศาลเลยที่บอกว่าเวลาพระปฏิบัติไป ทำไมเป็นอย่างนี้ ปกติคนฟังธรรมหนเดียวทำไมตรัสรู้ธรรมเลย แล้วพระประชุมกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาในสภาธรรมนั้น พระพุทธเจ้าอธิบายเลยว่า “มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเพราะว่าพระองค์นี้เคยทำอย่างนั้นมาชาตินั้นเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นมาจนในปัจจุบันนี้เขาก็เป็นอย่างนี้ พระองค์นี้เคยทำอย่างนั้นอย่างนั้นมา เขาเคยนิสัยเป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วพอในปัจจุบันนี้เขาถึงมาเป็นอย่างนี้”

ที่ท่านพูดเพราะมันมีเหตุมีผลท่านถึงจะพูดออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะพยากรณ์ออกมา สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ท่านไม่พยากรณ์หรอก พูดอย่างนี้มันพูดถึงว่าจะต้อง พอเป็นแล้วอยากอย่างนู้นอย่างนี้ เพราะสิ่งที่ผ่านมรรค ๔ ผล ๔ มันงานสุดยอด ไอ้การทดสอบตรวจสอบมันเป็นวาสนาของบุคคล มันเป็นวาสนาของบุคคล

สิ่งที่บุคคลนะเพราะมันเป็นเรื่องที่ท่านเอามาทำ มาทำแล้วมันก็ไม่เป็นมรรคไม่เป็นผลขึ้นมาอีกแล้ว มันไม่เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์กับใครอีกเลยเพราะสิ่งนี้มันทำให้คน ดูสิ อย่างฌานโลกีย์นี่ อย่างที่เขาทำคุณไสยกัน นี่เขาเป็นผู้วิเศษ เขามีความรู้ต่างๆ แล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร?

ไปถามธรรมะตอบไม่ได้นะ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรสักอย่าง จะไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วเราไปถาม แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร? ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ถึงบอกนี่เป็นวัวพันหลัก ถ้าเป็นพระอรหันต์ที่ผ่านอริยสัจแล้วจะมานอกเหนือสิ่งนั้นไหม? ต้องถามว่าจะเข้ามรรคผล จะเข้ามรรค ๔ ผล ๔ อย่างไร? เออ อันนี้มันน่าจะเป็นประโยชน์กว่าคือให้เราเข้าใจถึงเป็นประโยชน์ของเรา

ถ้าประโยชน์ของเราเกิดขึ้นมามันเป็นประโยชน์ของเรานะ เป็นพระอรหันต์แล้ว มันพ้นจากกิเลสไปแล้วจะให้มาทดสอบอะไรอีก? ท่านจะมาทดสอบทำไม? ทดสอบขึ้นมาให้.. พ้นจากหลุมมูตรหลุมคูถแล้วให้มันกระโดดลงไปอีก ใครจะกระโดด กระโดดลงไปเพื่อประโยชน์อะไร? ไม่กระโดดหรอก

ถ้าไม่ตอบจะหาว่าไม่จริงไง ทดสอบได้ถ้าจะให้ทดสอบนะเพราะจิตนี้ เวลาจิตที่มันมีกิเลสอยู่มันทำอะไรก็ทำไม่ได้หรอก มันเหมือนกับสิ่งที่ แร่ธาตุที่มันไม่บริสุทธิ์จะมาทำอะไรมันก็ทำยาก ทองคำเขาได้มาแล้วเขายังต้องมาไล่ขี้มันออกเลย ให้มันทองคำเป็นทองคำบริสุทธิ์เมื่อเป็นประโยชน์กับมัน

ใจของเรา ใจของเราที่มันไล่ขี้ ไล่กิเลสออกแล้วนี่ มันบริสุทธิ์ มันจะทำอะไรไม่ได้ ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ทำไม่ได้ ทองคำมันจะไปแลกขี้ทำไม ว่าทำได้หรือไม่ได้ ทำไมจะทำไม่ได้ แต่คนที่เขาเป็นแล้ว เขาเป็นทองคำแล้ว เขาไม่ไปแลกขี้หรอก แต่นี่มันเพราะความคิดมันเป็นขี้ มันเลยถามปัญหาขี้ๆ ขึ้นมาไง

ถาม : การพิจารณาและการจะเก็บตัณหาความอยากที่เป็นสิ่งเร้าในจิตครับ วิธีการพิจารณาเพื่อเก็บตัณหา สิ่งเร้าในจิต

หลวงพ่อ : การพิจารณานะ เวลาเราบวชกันแล้ว เวลาเรานักปฏิบัติทุกคนอยากเป็นพระอรหันต์ ทุกคนจะภาวนาไปเลยจะเอานิพพาน จะเอานิพพานขึ้นมา นิพพานเป็นอย่างไร ว่ากันไปตามเกม เป้าของเราคือสิ้นกิเลสหมดนะ แต่การพิจารณาจะเป็นนิพพาน แล้วจะไปเอานิพพานมาจากไหน จะไปสอยนิพพานจากต้นกัลปพฤกษ์หรือ?

นิพพานมันเกิดมาจากไหน? นิพพานมันก็เกิดจากใจที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ แล้วเวลาภาวนา เราจะจัดการกับตัณหาความอยากอย่างไร? ก็จัดการกับตัณหาความอยากอย่างไร พอมันอยากไม่ทำตามอยากมันก็จบไง ถ้ามันอยาก อะไรมันอยากขึ้นมา มันทุกข์ขึ้นมา ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหา มันไม่เห็นหรอก พูดกันไปปากเปียกปากแฉะ

แล้วเวลาไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแล้วก็ไปเขียนตำราขายกันเป็นนิยายธรรมะ นิยายธรรมะเป็นอย่างนั้นนะ โครงสร้างเป็นอย่างนั้น เขียนขึ้นมาคนอ่านก็แหมมันมาก ซื้ด! ซื้ด! ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ถ้ามันจะเป็นความจริง การพิจารณาและการจัดการกับตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากมันเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึก มันเป็นความคิด แล้วเราจะไปฆ่ามัน เอาอะไรไปฆ่ามัน เหมือนกับการประพฤติปฏิบัติ อยากจะพ้นทุกข์ อยากจะสิ้นกิเลส แล้วก็ภาวนาพุทโธ พุทโธ อะไรก็ไม่รู้เรื่องไปหมดเลย

พุทโธ พุทโธนี่เตรียมความพร้อม คนเราจะออกศึก กองทัพนะ กองทัพจะไปรบข้าศึกนี่ได้ฝึกฝนทหารไหม? ทหารในกองทัพเราถ้าเข้มแข็ง ทหารกองทัพเราเชื่อฟังอาจารย์ กองทัพเราเป็นผู้มีวินัย สะสมเสบียงอาหารนะ เดินทางไกล เดินทัพ กองทัพเดินด้วยท้อง กองทัพจะออกรบเขาต้องเตรียม เขาต้องฝึกทหาร เขาพร้อมหมดนะ เขาถึงจะไปตีเมืองข้าศึกนะ

ไอ้นี่ตื่นขึ้นมาว่าจะฆ่ากิเลส ตื่นขึ้นมาก็จะจัดการกับตัณหา มันต้องมีศรัทธาก่อนนะ ถ้าเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อของเรา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราจะเตรียมความพร้อม ถ้ามีสติ การจะจัดการกับตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยาก ความอยากเป็นความโลภ ความอยากเห็นไหม อยากจะสิ้นกิเลส อยากจะอะไรนี่ ทางโลกเขาบอกว่ามันเป็นกิเลส

พอเป็นกิเลสไปประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะไม่ได้ผล ถ้ามันไม่ได้ผลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นถึงไม่มีความอยาก แล้วไปสอนทำไมพระอรหันต์ พระอรหันต์ต้องไปสอนอีกเหรอ พระพุทธเจ้าสอนปุถุชนนะ สอนคนมีกิเลส นี้สอนคนมีกิเลสนี่

ถ้าสอนคนมีกิเลสความอยากนั้นเราพลิกวิกฤติเป็นโอกาสทุกเที่ยวไป ถ้าพลิกวิกฤติเป็นโอกาส อยากให้อยากในเหตุ การจะจัดการกับตัณหาความทะยานอยากมันต้องมีความพร้อม มีความพร้อมมีความเชื่อของเรานี่นะ ความเชื่อพลิกจากความอยาก อยากจะจัดการมันให้อยากมีศีลมีธรรม

พอมันมีศีลมีธรรม ไอ้ตัณหาความทะยานอยากมันหายไปเอง ความหายนี่มันหายชั่วคราว มันหายขาดไม่ได้หรอก มันหายขาดไม่ได้เพราะมันเป็นอวิชชา มันเป็นความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ ความไม่รู้นี่ต้องเอาวิชชา เอาวิชชา เอาความรู้แจ้งเข้าไปจัดการกับมัน

แล้วความรู้แจ้ง ความรู้วิชชาของเรามันไม่มี สิ่งที่เราศึกษากันเหมือนเราเข้าไปในห้างสรรพสินค้า มีเงินเข้าไปก็ซื้อ จะเอาเพชรก็ได้ จะเอาอะไรก็ได้ แล้วออกมาก็ติดมือมา นี่ก็เหมือนกัน ช้อปปิ้งธรรมะนี่ช้อปปิ้งเข้าไปในหัวใจ แล้วก็จะไปฆ่าตัณหา จะไปฆ่าความทะยานอยาก มันโม้ทั้งนั้น มันช้อปปิ้งมาได้อย่างไร?

ในเมื่อเราไม่มีกำลังของเรา เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัณหา อะไรไม่เป็นตัณหา ตัณหานี่นะมันซ้อนมา มันซ้อนมากับความคิด มันซ้อนมาเป็นอนุสัย มันจะไปกับทุกอณูของความรู้สึกเราทั้งหมด ทีนี้มันจะไปกับทุกอณูกับความรู้สึก ทุกอณูต่างๆ เพราะมันเป็นต้นขั้ว มันเป็นอวิชชา พอมันออกมากับเรามันก็ไปกับเรา แล้วเราจะเอาอะไรไปฆ่ามัน?

เราจะฆ่ามัน เราก็ต้องทำความสงบของใจก่อน ถ้าทำความสงบของใจก่อน ตัณหาความทะยานอยาก เราควบคุมมันไม่ได้ ควบคุมมันไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปควบคุมมัน แต่เราทำตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเราต้องมีสติสัมปชัญญะก่อน เรามีสติ เรากำหนดพุทโธเข้าไป กำหนดพุทโธเข้าไป

ถ้าจิตมันสงบเข้าไป แล้วย้อนกลับไป นี่การย้อนกลับไปวิปัสสนา การวิปัสสนามันถึงจะไปควบคุมมันได้ มันถึงจะไปฆ่ามันได้ การจะฆ่า การจัดการกับตัณหาความทะยานอยาก จัดการกับสิ่งต่างๆ มันไปจัดการกับมันโดยตรงตัวมันทำไม่ได้ เห็นไหม บอกเวลาทุกข์ เวลาทุกข์ทุกคนบ่นว่าทุกข์ ทุกคนบ่นว่าทุกข์

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าทุกข์ควรกำหนด ทุกข์ละไม่ได้ ทุกข์ละไม่ได้ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ชีวิตนี้เป็นความทุกข์ ทุกข์คือ ชาติปิ ทุกขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ถ้ามีชาติความเกิดมันเป็นตัวฐานรับความทุกข์ ตัวความเกิด ตัวชีวิต ตัวชีวิตนี่คือตัวแบกทุกข์เพราะทุกข์มันเกิด ทุกข์มีเพราะมีเรา ถ้าไม่มีตัวตน ไม่มีชาติ ไม่มีความเกิด ไม่มีภวาสวะ ไม่มีจิตเห็นไหม พระอรหันต์ไม่มีจิต พระอรหันต์ไม่มีจิต ทุกข์มันจะไปอยู่บนอะไร? ทุกข์ของพระอรหันต์มันจะไปตั้งอยู่ที่ไหน? มันไม่มีภาวะรองรับทุกข์ ไม่มีรองรับอะไรเลยแล้วมันจะมีความทุกข์ได้อย่างไร?

แต่ของเรามันล้วนๆ นะ นี้พอของเรามันล้วนๆ ขึ้นมานี่ ในเมื่อชีวิตนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เรามีความทุกข์ พอมีความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ควรกำหนด มีความทุกข์ ทุกคนอยากให้ทุกข์หายนะ ทุกข์ทุกคนอยากปฏิเสธ ตัณหาทั้งนั้น ผลัก สิ่งที่ไม่พอใจก็ผลักมันออกไป แล้วมันผลักได้ไหม? ผลักให้มันหายไปได้ไหม? ไม่ได้หรอก ชั่วคราว กดมันไว้ เอาเข้ามาไว้ใต้เสื่อนั่นน่ะ

สิ่งที่อยากได้เรียกร้องมันมา ตัณหาวิภวตัณหาไง ตัณหาคือความทะยานอยาก อยากได้ นี่วิภวตัณหาคือไม่ต้องการผลักไส แล้วก็บอกว่าทุกข์ ไม่ต้องการทุกข์ ผลักไสทุกข์ มันก็ตัณหา แล้วทุกข์มันอยู่ไหน พุทธเจ้าถึงบอกว่าทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละในอริยสัจ ทุกข์ควรกำหนด แต่นี่บอกว่าทุกข์ควรจะฆ่า ทุกคนจะไม่มีความทุกข์

มีชีวิตอยู่มีทุกข์ทั้งนั้น มีลมหายใจ มีลมหายใจก็ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้น ในเมื่อทุกข์ควรกำหนด ชีวิตนี้คือทุกข์ ความรับรู้นี่เป็นทุกข์ ทุกอย่างทุกข์ทั้งนั้นเลย สิ่งที่เรารับรู้ทุกข์ทั้งนั้น นี้ทุกข์ ทุกข์แล้วทุกข์ควรกำหนด ถ้าเรากำหนดทุกข์ เราเห็นทุกข์ เราพูดประจำนะ ทุกคนที่นั่งกันอยู่นี่ ในสัตว์โลกไม่เคยเห็นทุกข์ ไม่เคยเห็นทุกข์ถึงกำหนดทุกข์ไม่ได้ ถ้ากำหนดทุกข์ได้เป็นอริยสัจ อริยสัจ สติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ถ้าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าเรากำหนดทุกข์ เรากำหนดทุกข์ได้ เราเห็นทุกข์ได้ แต่นี่เพราะเราเป็นปุถุชน จิตเรานี่หยาบมาก จิตเรานี่บอดมาก เราเลยไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร แล้วเวลามันเกิดอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจ เจ็บปวด ร้องไห้ ทุกข์ใจ อันนี้อาการของทุกข์นะ ไม่ใช่ตัวทุกข์ ทุกข์มันขี้รดหัวนะแล้วมันไปแล้ว

หลวงตาพูดบ่อยมากเลย กิเลสนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันขี้รดหัวใจ ขี้ไว้กองเต็มหัวใจเน่าเหม็นเลยแล้วมันก็เผ่นไปแล้ว กิเลสเผ่นไปแล้ว เราก็ โอ้ยโอ้ย ไอ้ที่ร้องคร่ำครวญกันนั้น มันอาการของทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ ถ้ารู้จักทุกข์ เห็นไหม รู้จักทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้ากลับไปแก้ที่ตัณหาความทะยานอยากแก้ด้วยอะไร? แก้ด้วยอริยมรรค

ถ้ามรรคมาแก้ แก้บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า เห็นบ่อยครั้งเข้า นี่ตัณหาความทะยานอยาก สมุทัยควรละ ละไอ้ตัณหานี่ ละไอ้ตัณหานี่ ไอ้ตัณหาความทะยานอยากนี่ พอใจก็อยากได้ ไม่พอใจก็ปฏิเสธ ไอ้อยากได้ไอ้ปฏิเสธนี่คือตัณหาความทะยานอยาก แล้วตัณหาความทะยานอยากมันมีอยู่ มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร?

มันเป็นมรรค เป็นมรรคจะย้อนกลับไปเริ่มต้นไง เป็นมรรคเพราะเรามีศรัทธา เป็นมรรคเพราะเรามีสติปัญญา เป็นมรรคเพราะเราเริ่มต้นมาจากนั่น มันต้องย้อนกลับไปที่นั่น ทีนี้ครูบาอาจารย์ของเรา ภาคปฏิบัติของเรามันถึง ศีล สมาธิ ปัญญา

ไอ้นี่มาจากไหนก็ไม่รู้ มือก็สกปรก ปล้นเขามาเดี๋ยวนี้เลย จะเอามรรค สกปรกหัวใจนี่ขี้ทั้งนั้นเลย ต้องทำมรรคให้ได้ มรรคของโจร ไม่ใช่มรรคของอริยสัจถ้ามรรคของโจรมันก็โจรสอนโจร โจรสอนโจรมันก็เอาธรรมะมาขายหาเงินกัน แต่ถ้ามันเป็นมรรคจริงๆ นะ

ถ้าเป็นมรรคญาณ มรรคอริยสัจจัง มันจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา มันปรับมาจากนี่ ถ้ามันปรับมาจากนี่มันก็ย้อนกลับไปพื้นฐานของใจ พื้นฐานของเรา แล้วเราทำอย่างไรมามันถึงไม่มา เพราะคำถามอ่านแล้วมันสะเทือนใจไง มันสะเทือนใจเหมือนกับจะชุบมือเปิบ เหมือนกับว่าจะมีการพิจารณาแล้วจะจัดการตัณหาอย่างไร?

ก็คิดว่าตัณหามันก็เหมือนมหาโจรใช่ไหม ออกหมายจับมัน แล้วเอามันมาไต่สวน ไอ้นั่นมันเป็นทางโลกนะ ถ้าทุกคนจะออกหมายจับ จะออกอันนี้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ ถ้ายังไม่เห็นกิเลส ไม่มีตัวจำเลย รู้ว่านาย ก. เป็นคนปล้น ในการสืบสวนรู้ว่านาย ก. เป็นคนปล้น แต่ไม่ได้ตัวนาย ก. มา

นี่ก็เหมือนกัน รู้ เรียนธรรมพระพุทธเจ้ามา นี่กิเลส รู้ว่ากิเลส รู้ชื่อกิเลส แต่ไม่เคยเห็นกิเลส รู้ชื่อทุกๆ อย่างเลย รู้แต่ชื่อมัน นาย ก. เป็นคนปล้น ปล้นไปห้าร้อยล้าน มันเอาไปซ่อนไว้ที่นั่น มันเอาไปทำประโยชน์อย่างนั้น เอาผู้ต้องหามาลงโทษไม่ได้ แล้วก็เลื่อนลอย

ชาวพุทธไม่มีหลักมีเกณฑ์ ชาวพุทธไม่มีผลงาน ชาวพุทธใจไม่เป็นธรรม ชาวพุทธเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทำเป็นนิยาย เป็นซีดีขายกินกัน ชาวพุทธไม่มีเนื้อหาสาระ ชาวพุทธไม่มีธรรมในหัวใจ ชาวพุทธไม่ได้ประโยชน์จากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าชาวพุทธจะได้ผลงานธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรักษาตัวเองให้ได้ก่อน ต้องรักษาศีล ต้องรักษาพื้นฐานของศีลให้จิตใจมันเข้มแข็ง ถ้ารักษาพื้นฐานของศีลเหมือนคนจะปั้นโอ่ง ปั้นไห การปั้นโอ่งปั้นไหเขาต้องเอาดินมาหมัก เอาดินมาหมัก มานวดดินจนดินได้ที่ ถ้าเรานวดดินไม่ได้ที่ เอาขึ้นปั้นโอ่งปั่นไหมันก็รั่ว มันก็แตก มันก็ร้าว มันก็ไม่ได้อะไร โอ่งไหนั้นใช้ไม่ได้

ศีลเหมือนการเตรียมตัวของใจ ถ้าเราจะแก้ตัณหาความทะยานอยาก เราต้องมีศีลปกติ เราต้องมีศีลของเราก่อน เราทำสมาธิของเราขึ้นมา เราต้องเตรียมใจของเรา เราต้องเตรียมของเรา เอาดิน คือเอาใจของเรามาหมักมาทำมาย่ำ มาทำให้มันสมควร ให้ดินมันไม่มีสิ่งที่ปั้นไปแล้วมันจะมีรอยรั่ว มันจะมีรอยแตกร้าว แล้วเราปั้นขึ้นมาเป็นโอ่งเป็นไห

นี่อริยสัจ ถ้าใครเห็นอริยสัจ ใครทำอริยสัจขึ้นมา อริยสัจนี่ไง นี่ธรรมะส่วนบุคคล สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมะสาธารณะ ธรรมะสาธารณะเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะส่วนบุคคลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อานนท์ เราตายไปเราเอาธรรมของเราไปคนเดียวนะ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย”

พระสารีบุตรตายไปก็เอานิพพานของพระสารีบุตรไป พระโมคคัลลานะตายไปก็เอาธรรมของพระโมคคัลลานะไป ถ้าปุถุชนใครก็แล้วแต่ทำธรรมะขึ้นมาในหัวใจของตัวเองได้ มันก็เป็นธรรมะของตัวเอง

แล้วธรรมะของตัวเอง เราสร้างตึกนั่งร้านขึ้นมา เราสร้างตึกขึ้นมามันมีนั่งร้านอยู่ที่ไหน เสาเข็มคานคอดินของเราตั้งอยู่ที่ไหน ก็ตั้งอยู่ที่กลางหัวใจไง ภวาสวะตัวภพไง คือตัวสิ่งที่กิเลสมันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา

ตัณหาทะยานอยากมันอาศัยสิ่งนี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพราะมันมีฐาน มันมีภพ แล้วเราจะเข้าไปหามัน เราจะเข้าไปทำลายมัน ไปทำกันที่ไหน เพ้อเจ้อกันไปหมดเลย นี่ไง ถ้าไม่มีหลวงปู่มั่น ไม่มีครูบาอาจารย์มาก็ไม่เชื่อกันว่าศาสนาพุทธมีมรรคผลนิพพาน มรรคผลหมดกาลหมดสมัย ไม่มีทำไม่ได้ หมดเวรหมดแล้ว มีแต่อยู่กันไปเฉยๆ อยู่กันไปแบบยอมจำนน

หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อให้สังคมยอมรับว่ามีจริง แล้วปฏิบัติมาในป่าในเขา ผู้ที่มีความสนใจจริงจากครูบาอาจารย์เราต้องเข้าไปหาท่านในป่าในเขา จะเข้าไปศึกษากับท่านเพราะอยู่ในที่สงัด อยู่ในที่วิเวก อยู่ในชัยภูมิที่สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ไม่อยู่ในตลาดหรอก ไม่อยู่ในที่มีการคลุกคลีกันหรอก

มานั่งอยู่นี่เกรงใจคนนั้น เกรงใจคนนี้ คนนู่นจะเอาอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้ โอ้ย ปวดหัว กับบ้านดีกว่าโว้ย อยู่ในป่าในเขา อยู่คนค่ำคนเดียวสุขสบายของท่าน แล้วใครอยากรู้จริง ใครอยากได้จริงต้องไปหาท่าน แล้วท่านก็ฝึกฝนของท่านขึ้นมาเพื่อเป็นรุ่นต่อๆ มา เป็นหลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ต่างๆ เป็นครูบาอาจารย์ของเราที่มีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์ก็อยู่ในป่าในเขา มีหลักมีเกณฑ์การสั่งสอน

คนเขาไปโรงพยาบาล ไปห้องผ่าตัดเขา เขาไม่ให้เข้านะ เขาต้องมีการฆ่าเชื้อก่อน เขาถึงจะให้เข้านะเพราะมันติดเชื้อ มันทำลายคนไข้เขานะ เราไปในห้องพยาบาลจะเข้าไปในทุกห้องได้อย่างไร? นี่ก็เหมือนกันในการประพฤติปฏิบัติ วัดป่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาต้องสงวนรักษาของเขาไว้ ไว้เพื่อในการประพฤติปฏิบัติ

ไปวัดแล้วก็ต้องให้เหมือนกับไปศูนย์ห้างสรรพสินค้า ต้องให้มีคนดูแล เอ็งก็ไปห้างสรรพสินค้าสิ เอ็งมาวัดทำไม? มาวัดคือวัดใจ ใจพอใจไหม? เข้ามาวัดแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเคยสะสมมา มันคือนิสัยอย่างนี้ เราพอใจไหม?

เราไปวัดเราก็ต้องเคารพกติกาของวัดนั้นสิ วัดไม่เหมือนบ้าน บ้านไม่เหมือนวัด

บ้านของเรามันก็บ้านของการอยู่กับสังคม สังคมเขาก็อยู่กันอย่างนั้น ไปวัด วัดพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เพื่อจะ อยู่บ้านมันเหมือนไม้ชื้นไม้ดิบเห็นไหม เหมือนไม้สด ไม้สดมันสีไฟไม่ขึ้นหรอก ไม้สดมันสีอย่างไรไฟก็ไม่เกิด ไม้นี่ต้องตากให้แห้งก่อน พอตากให้แห้งก็ถือพรหมจรรย์ ไปอยู่วัด วัดเป็นพรหมจรรย์ วัดนี่เป็นไม้แห้งๆ ไปอยู่กันแห้งๆ อยู่ในวัดอยู่แบบแห้งๆ แล้งไง อยู่แบบไม่มีใครมาดูแลรักษาไง

พอไม้มันตากไว้จนมันแห้ง พอแห้งขึ้นมาเอามาสีกัน ความสีของไม้แห้งมันจะเกิดไฟได้ แล้วความสีของไม้แห้งมันจะเกิดไฟได้ แล้วเราบอกว่าไม้แห้งก็ไม่ดี ไม้เปียกก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี แต่จะจัดการกับตัณหาความทะยานอยากนะ ว่าจะจัดการกับตัณหาความทะยานอยาก

แต่ในวิธีการที่จะไปจัดการมันปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธวิธีการเข้าไป ไร้ค่า นู่นก็ไม่จำเป็น ศีลไม่ต้อง อะไรก็ไม่ต้อง อุ้ย เสียเวลา ไม่ต้องทั้งนั้น เอาปืนไปยิงมันเลย ตัณหา เอาปืนไปยิงมัน

โลกคิดกันอย่างนี้ไง โลกถึงไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นคุณค่าข้อวัตรปฏิบัติ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ เก็บหอมรอมริบ ทุกกฎ ข้อหนึ่งก็ไม่ยอมให้ร่วง สิ่งใดๆ ก็ไม่ยอมให้ร่วง ถนอมรักษา ถนอมมากเพราะรู้มาเห็นมาเพราะวิธีการอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านจะเคารพธรรมและวินัยมาก

เหมือนกับพวกเราจบจากสถาบันไหน เราจะซึ้ง สถาบันนั้นจะมีคุณประโยชน์กับเรามาก มีคุณมีประโยชน์กับเราเพราะเราได้จบสถาบันนั้นมา ถ้าใครประพฤติปฏิบัติมานะ ประพฤติปฏิบัติมาด้วยความเป็นจริงนะ ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นจริงนะ มันก็ลูบๆ คลำๆ นี่สีลัพพตปรามาสไง

คำว่าสีลัพพตปรามาสคือมันไม่ซึ้งใจ ไม่กินใจ ไม่ดูดดื่มใจ แต่ถ้าเป็นสักกายทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง สักกายทิฏฐิ สักกายะคือกาย ทิฐิคือความเห็นผิด แล้ววิปัสสนาไปจนเห็นถูก เห็นถูกว่ากายนี่มันก็เป็นสภาพของกาย จิตกับกายอยู่ด้วยกัน เราไปพูดกันนะ คนอื่นเห็นเราผิด คนอื่นเข้าใจเราผิด ทุกคนเข้าใจเราผิดหมดเลย

แล้วหัวใจมันเข้าใจตัวมันเองผิด มันเข้าใจผิด สักกายทิฏฐิ มันมีทิฐิ ความเห็นผิด มันถือว่าร่างกายนี่เป็นของเรา ร่างกายเป็นของเราโดยสมมุตินะ ทุกคนเกิดมา ใช่ร่างกายของเราเป็นโอกาสของเรา มันสมมุติ สมมุติหมายถึงว่ามันเป็นของเราชั่วชีวิตนี้ ชั่วชีวิตไง แต่ถ้ามันเป็นของเราจริง เราต้อง แม้แต่ชั่วชีวิตเรายังบังคับมันไม่ได้เลย

“เอ็งอย่าหิวสิ เอ็งอย่าหิวนะ เอ็งอย่าทุกข์นะ เอ็งอย่าเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เอ็งอย่า..”

บังคับไม่ได้ทั้งสิ้น แต่มันเป็นกรรม กรรมเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ พอเกิดมาเป็นมนุษย์ความเข้าใจ ถ้าจิตมันเห็นจริง เรามาอยู่กันชั่วคราวนะ ไม่ใช่ของเราหรอก อาศัยกัน มันจริงตามสมมุติคือโอกาสที่เป็นมนุษย์ สุดท้ายแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย เวลามันพลัดพราก มันออกไปมันไม่มีอะไรหรอก

นี้ว่าไม่มีอะไรปั๊บถ้าความเห็นจริงว่าไม่มีอะไรปั๊บเรารู้จักที่นี่ว่าไม่มีอะไร เรารู้จริงตามเทคโนโลยี เครื่องเทคโนโลยีเครื่องใช้นี่ถ้าเรารู้จริงเราใช้มัน เราจะไม่ตื่นเต้นกับมันเลย ให้คนที่ไม่เป็นมาใช้สิ กดนี่พังหมดเลยล่ะ กดแล้วมันก็ไม่เป็นการใช้ให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา กดแล้วเปิดเสียงไม่ออกหรอก กดไม่เป็น กดให้ตาย ทุบมันยังไม่ออกเลย แต่คนใช้เป็นพอกดปุ๊บออกหมดเลย

ถ้าเราเข้าใจสักกายทิฏฐิ ความเข้าใจทิฐิมันไม่มีในหัวใจแล้วมันจะไปสงสัยอะไร? มันจะทำไม่เป็นได้อย่างไร? มันไปได้ทั้งนั้น ถ้าสักกายทิฏฐิ พอมันรู้จริงขึ้นมา มันก็ไม่สีลัพพตปรามาส มันก็ไม่ลูบคลำ มันจะลูบคลำได้อย่างไรเพราะมันรู้จริง แต่ที่สอนกันนี้ไม่ใช่ลูบคลำนะ ถามไปถามมาคนตอบมันงง ไม่ลูบคลำหรอก กูงง งงแล้วมันก็ไม่รู้

เวลาพูด พูดอยู่คนเดียว ห้ามถามนะ อย่าถาม ถามเดี๋ยวตอบไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงมันตอบได้หมด สิ่งที่จริงสิ่งที่ดีงามนะ สิ่งที่จริงสิ่งที่ดีงามมันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา ตัณหาความทะยานอยาก เพราะคำถามมันถามเท่านี้แหละ

แต่วิธีการทำขึ้นมา ครูบาอาจารย์ทำนะ ทำสมาธิ ทำสมาธิ คำเดียวนะ ทำ ๑๐ ปีสมาธิไม่ได้สักที แล้วเวลาพูดกัน เอาง่ายๆ ว่าวิธีนี้เป็นทางลัด เวลาพูดถึงทางลัดเราเศร้าใจมากนะ เพราะเราอย่างที่ว่า มันด่าเขาอยู่เมื่อกี้นี้ว่าคำถามมันถามผิด เรื่องอริยสัจ แต่เวลาเราพูด เราก็จะบอกว่าเราทดสอบมาหมด

คำว่าทดสอบนี้มันเป็นนิสัยของเราเอง เราก็อยากรู้ของเรา เราอยากรู้ของเราเพื่ออะไร เพราะมันเป็นนิสัยที่ว่าเรารู้มาเพื่อจะเป็นวิชาการ เพื่อจะโต้แย้งไง ที่บอกว่าเป็นทางลัดทางลัดเพราะเซนนี่เราก็อยากทำ ดูหน้าเราสิเจ๊กทั้งขี้ พ่อนี่จีนนอก พ่อนี่อพยพมาจากเมืองจีนเลย แล้วทำไมเราจะไม่สนใจเรื่องนี้ เราศึกษาหมดนะ

นี้พอศึกษามาแล้วปฏิบัติไปนะ ในมหายาน ห้ามติดกาลเวลา แล้วตอนนั้นถือข้อวัตรปฏิบัติมาก ถึงเวลาจะทำตามข้อวัตรเลย เอ๊ะ ถ้าไม่ติดกาลเวลาจะทำอย่างไร? มันก็ละล้าละลังอยู่นะ แต่ดีอย่างหนึ่งไม่ทิ้ง ก็ทำไปเรื่อยๆ พอจิตมันผ่านคือจิตมันเข้าใจแล้ว อ๋อ ไม่ติดกับกาลเวลาคือติดในมิติ

เรานี่ติดในกาลเวลา มนุษย์นี่ ๒๔ ชั่วโมง ๑๐๐ วันเท่ากับเทวดาเขา ๑ วัน เขาก็ติดในวันเวลาของเขา การทำงานของเรานี่เช้าเข้างาน เย็นออกงาน ติดกับกาลเวลาไหม ติดในกาลเวลาเพราะเวลาของมนุษย์ไง แต่ถ้าจิตมันพ้นแล้วมันไม่ติดในกาลเวลาคือว่ามิติในโลก มิติของเวลาไม่ติดกับใจดวงนี้เลย

แต่ตอนอ่านใหม่ๆ ไม่เข้าใจ งงเหมือนกัน เกือบทิ้ง ถ้าทิ้งนี่แย่เลย ทิ้งแย่หมายถึงว่าเราจะปล่อยหลัก หลักนี้ปล่อยไม่ได้ แล้วก็บอกว่าทางลัดๆ เราปฏิบัติมาแล้วนะ ไอ้คนที่ว่าไปทางลัดๆ ลัดลงนรก ทางลัดไม่มี มีแต่ทางตรงของพระพุทธเจ้า ทางลัดไม่มี

ถ้าทางลัดมีนะพระพุทธเจ้าบอกแล้ว พระพุทธเจ้าเก่งกว่าทุกๆ คน มหายานคำว่าทางลัดๆ ของเขา เราศึกษาเราได้ประโยชน์จากมหายานมาเยอะมาก ฮวงโป เว่ยหล่างอ่านมาหมด แล้วทดสอบมาหมด ขณะที่เว่ยหล่าง ฮวงโปก็ทดสอบนะ เขาเข้าโศลกของเขา เขานั่งทีหนึ่ง ๗ วัน ๗ คืน เวลาเขาเข้มของเขา เขามีทำเข้มของเขา

แล้วทางลัดของเราคือหยิบของมาแล้วปล่อยวางอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ กิเลสมันเหมือนกัน กิเลสของมนุษย์ กิเลสของสัตว์โลกอันเดียวกัน แล้วการปล่อยกิเลส การทำลายกิเลสมามันต้องทำได้เหมือนกัน ฉะนั้นทางลัดนะ ทางลัดที่พูดกันไม่มี มีแต่ขิปปาภิญญา ผู้ที่ตรัสรู้เร็ว เห็นเร็ว นั่นเป็นเรื่องของเขา นั่นเป็นบุญกุศลของเขา แต่ว่าทางลัดนะ เพราะในการสอนของเว่ยหล่างนะ

ในการสอนของมหายาน ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร? ที่ว่าทำสมาธินี่ไง พอทำสมาธิมา ๑๐ ยังทำไม่ได้เลย

เซน “ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร?”

เขาเป็นหมอไง เขารักษาคนไข้ พอรักษาคนไข้ เสียงใบไม้ ลมพัดมา

“ตบมือข้างเดียวเสียงใบไม้ครับ” ไม่ใช่

“ตบมือข้างเดียวเสียงน้ำตกครับ” ไม่ใช่

ตบมือข้างเดียวหมายถึงเสียงอะไร? ตบมือข้างเดียวไม่มีเสียง พอเฉลยนะ ตบมือข้างเดียวไม่มีเสียงหรอก อาจารย์เขาหลอกเอ็ง หลอกให้ใช้ใคร่ครวญความคิด คิดจนจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมานะ ตบมือข้างเดียวไม่มีเสียง แต่เป็นเหมือนคำบริกรรมพุทโธ พุทโธเรา ใช้ความคิดอยู่ ๑๔ ปี ลัดทางลัด ทางลัด

พวกนี้ศึกษาไม่รอบคอบ ทางลัดถ้ามีนะ เราพูดบ่อยมากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้กัน เวลาเรากราบไหว้ เวลากราบพระกราบพระไหม? เขาบอกนะกราบพระนี่กราบทองเหลือง กราบทองเหลือง กราบปูน โง่ โง่มาก

เวลาไปหาหลวงตา หลวงตาบอกให้กราบพระ กราบถึงพระไหม? เวลากราบพระ

กราบครั้งแรกกราบถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบถึงบุญคุณ กราบถึงเมตตา กราบถึงปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รื้อค้นธรรมวินัยไว้ให้เราได้เป็นประโยชน์

กราบครั้งที่สองกราบถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านรื้อค้นขึ้นมา

กราบครั้งที่สามกราบถึงคุณของพระอริยสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นศาสดาของเรา เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่สิ่งที่หล่อขึ้นมาเป็นสมมุติ เป็นสมมุติ เป็นสัญลักษณ์ให้เราได้กราบได้ไหว้ กราบพระให้ถึงพระ

เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาพูดกันไง ไปกราบทำไม กราบทองเหลือง ก็มันโง่ขนาดนั้น มันกราบพระไม่ถึงพระหรอก เพราะใจมันหยาบ ถ้าใจมันละเอียดนะ มันกราบพระถึงพระ กราบครั้งแรกกราบถึงพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สองกราบถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบครั้งที่สามกราบถึงพระอรหันต์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่ได้กราบอิฐ หิน ทราย ปูนหรอก อิฐ หิน ทราบ ปูนเป็นรูปเคารพ เป็นเครื่องเคารพ เป็นสมมุติให้เราเป็นจุดหมายป้ายทาง ให้เรากราบไปเท่านั้น ถ้ามันถึงธรรมนะ ความที่ว่ามันถึงธรรม มันจะถึงธรรมโดยความเป็นธรรม

ถ้าเราไม่ถึงธรรมนะ เราไม่ถึงธรรม เราจะโต้แย้งไปหมดเลย แล้วจะบอกเห็นไหม จะบอก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกทางลัดทางลัด ถ้าเป็นทางลัดนะ พระพุทธเจ้าเปิดให้แล้ว พ่อแม่คนไหนบ้างไม่รักลูก? แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์มันยิ่งกว่าลูกนะ จะขนให้หมดเลย

ถ้าขนให้หมดเลยก็เอารถแทรคเตอร์มาขนไปเลย แล้วขนได้ไหม? ขนไม่ได้เพราะนี่มันเป็นเนื้อ เป็นร่างกาย ขนนะ เวลาจะขนรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เช้าขึ้นมาพุทธกิจ ๕ เล็งญาณก่อนเลยล่ะ นั่งอยู่นี่ใจใครฝักใฝ่ในธรรม พอใจใครฝักใฝ่ในธรรม ใจของใครมันจะเข้าถึงธรรมะได้

พอใจเข้าถึงธรรมะได้โอกาสของใครที่มันจะตายก่อน เอาคนนั้นก่อน รีบเอาคนนั้นก่อน ถึงไปเอาองคุลีมาลก่อน ถ้าช้าอีกวันเดียวองคุลีมาลฆ่าแม่ แล้วองคุลีมาลในเมื่อมาตุฆาตแล้วหมดสิทธิ์ ถ้าไปช้ากว่านี้องคุลีมาลจะไม่เป็นพระอรหันต์ วันนั้นต้องไปเอาองคุลีมาลก่อน นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์

รื้อสัตว์ขนสัตว์เป็นความรู้สึก เอาจิตขนจิต เอาความรู้สึก เอาธรรมะเข้าไปขนเอาหัวใจพ้นจากกิเลส แล้วเวลามันจะรื้อขึ้นมา ถ้าครูบาอาจารย์มีคุณธรรมก็สอนผมสิ แก้กิเลสผมสิ ก็มึงกลับไปแก้ที่บ้านมึงเองสิ มันต่อรอง เอากิเลสเอามาอ้าง ไร้สาระมาก เจอบ่อยมาก

บางคน โอ๊ย มรรค ๘ มรรคสามัคคีมันต้องใช้สมาธิกำลังเท่าไร? มันต้องใช้ความเพียรเท่าไร? คิดค่าของน้ำหนักไง แล้วก็จะเอารวมค่าน้ำหนักให้มรรคสามัคคีไง คิดแบบวิทยาศาสตร์ เราเวลาเราถึงบอกวิทยาศาสตร์นี่นะ วิทยาศาสตร์มันเป็นการแสดงออกของธรรม วิทยาศาสตร์นี่เรามาอ้างอิงเพื่อให้ธรรมะชัดเจน วิทยาศาสตร์เป็นทางให้ธรรมะได้แสดงออกมา

ธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตนะ มันตรวจสอบได้ มันทดสอบได้ ของจริงๆ นะ แต่ตัววิทยาศาสตร์มันเป็นโลก ทางวิทยาศาสตร์ค่าปรมัตของวิทยาศาสตร์ไม่มี ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี วิทยาศาสตร์ไม่มีร้อยเปอร์เซ็นต์ ๙๙.๙๙ แต่ถ้าเป็นธรรมะนะ ถ้า ๙๙.๙๙ นะ มีแค่จุดหนึ่งนี่มรรคสามัคคีไม่ได้

ปรมัตถธรรมนี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ สิบๆๆๆ ล้านเปอร์เซ็นต์เลย สะอาดบริสุทธิ์ได้ปรมัตธรรม เหนือวิทยาศาสตร์มาก เหนือวิทยาศาสตร์มาก วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้

“ไอน์สไตน์บอกเลยถ้ามีโอกาสนับถือศาสนา ขอนับถือศาสนาพุทธ”

เพราะศาสนาพุทธด้วยเอาวิทยาศาสตร์มาคำนวณแล้วมันดีหมดเลย แต่ทำได้ไหม? ทำไม่ได้เพราะเป็นปริยัติไง เป็นการศึกษาไง เป็นการเทียบเคียงไง เป็นการเอาวิทยาศาสตร์มาจับไง

วิทยาศาสตร์มันดีที่ว่าเพื่อพิสูจน์ว่าศาสนาเรามีรูปธรรมที่จับต้องที่พิสูจน์ได้เท่านั้นเอง ที่ว่าทางลัดทางลัด เราไปพูดกันเองเพราะทางลัดในมหายาน ในเว่ยหล่างทำทีหนึ่งเป็นสิบๆ ปีทั้งนั้น เขาทำจริงทำจังของเขาเพียงแต่เป็นโวหารไง เป็นโวหารเหมือนกับว่าถ้าเราไปติด

นิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในมด นิพพาน นิพพานเขาเพื่อไม่ให้ติด เราไปติดเคารพบูชากันก็เป็นการอ้อนวอน เราไปติดเคารพบูชากันมันก็เป็นสิ่งที่สุดเอื้อม ท่านถึงบอก นิพพานอยู่ในขี้ อ้าว เซนมันว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ นิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในมด นิพพานอยู่ในที่เราไม่ไปยึดมั่นมันไง

คำพูดนี่มันเป็นโวหารเฉยๆ มันเป็นโวหารให้เราไม่ไปติดข้องไง เหมือนกับเด็กมันพูดอะไรแล้วมันยึดก็ตบมือมันออก ไอ้เราพอเขาตบมือออกก็เลยปล่อยหมดเลย ทางลัดทางลัด เวลาตกนรกนะ “เฮ้ย มึงก็มาหรือ?” “เฮ้ย กูก็มา” ตกนรกกันหมดเลยเพราะมันทิ้งหมดเลย ถึงบอกนิพพานลัดลงนรกไง ลัดลงนรก

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงนะ ถ้ามันลัดได้นะ มันเป็นไปไม่ได้ เราจะพูดตลอดเลย พวกเรานี่นะเป็นบริษัท ๔ อยู่ในศาสนา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเอาไว้นะ มันเป็นความเห็นทั้งหมด ดูอย่างเถรวาทเรา อย่างสงฆ์ทั่วไปนะ

อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาต้องเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เพราะอะไร? เพราะพระพุทธเจ้าตั้ง แล้วเป็นความจริง จริงๆ แต่มหายานนะเป็นพระกัสสปะ เป็นพระกัสสปะเป็นพระอานนท์เพราะอะไร? ในความคิดโลกๆ เป็นพระกัสสปะ เป็นพระอานนท์เพราะพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะนิพพานก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พอพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วพระกัสสปะเป็นผู้สังคายนา พระอานนท์สืบต่อศาสนามา เขาเห็นถึงการทำประโยชน์ไง แล้วเห็นการทำประโยชน์มันเป็นประโยชน์ทางโลกไง มันเป็นประโยชน์ทางโลก มันเป็นประโยชน์กันสืบต่อมา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้มองประโยชน์ทางโลก มองประโยชน์ทางธรรมที่ลึกซึ้งกว่าโลกหลายร้อยหลายพันเท่า

เพราะถ้าไม่มีพระโมคคัลลานะ ไม่มีพระสารีบุตร ศาสนามันจะปักลงมั่นคงอย่างนี้ไม่ได้ ขณะที่ทรมานคฤหบดีต่างๆ ที่ไม่มีความสามารถเอาพระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไปก่อน ไปแสดงฤทธิ์แสดงเดชทั้งนั้นเลย แล้วเวลาเทศนาว่าการ เวลาพระสารีบุตรไปโต้แย้งกับเจ้าลัทธิต่างๆ ตอนเช้าออกบิณฑบาตใช่ไหม พอบิณฑบาตออกไปเขามีทฤษฎีอะไรก็ไปโต้แย้งกับเขา

แล้วคนไม่รู้จริงไปโต้แย้งได้ไง มีพระมากเลยตอนเช้าก่อนออกบิณฑบาตไปโต้แย้งกับเจ้าลัทธิต่างๆ เวทนามี ๒ เวทนามี ๓ โต้แย้งไม่ถูกนะ เวลากลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเอ็ดเอานะ โมฆบุรุษ โมฆบุรุษคือว่าคนโง่คนเปล่า ไม่รู้จริง ไม่รู้จริงไปพูด เหมือนเราถ้าคนศึกษาอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี่เห็นไหม ไปกราบฤๅษีชีไพรกัน มึงไปกราบทำไม? ไปกราบเพราะมึงโง่ไง เพราะหัวใจมึงไม่มีหลักไง

ทีนี้พอหัวใจมึงโง่ไม่มีหลัก มันไปพูดออกไปมันก็พูดด้วยความโง่ๆ ไง ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อัดเอาอีก แต่พระสารีบุตรโต้แย้งนะ ไปโต้แย้งกับอะไร กับไอ้พวกปริพาชกเห็นไหม ไปปราบ จิตหนึ่ง ให้ต่อกัน พอต่อกัน เขาเป็นปริพาชิกา เขาไล่หมด พระสารีบุตรตอบได้หมดเลย

เวลาพระสารีบุตรถามบ้าง “หนึ่งไม่มีสองคืออะไร?” ตอบไม่ได้ หนึ่งไม่มีสอง ของในโลกนี้เป็นของคู่หมด มีสิ่งตรงข้ามหมด แล้วหนึ่งไม่มีสองคืออะไร? หนึ่งไม่มีสองก็นิพพานนี่ไง ถ้าคนไม่นิพพานพูดไม่ได้ หนึ่งไม่มีสอง หนึ่งเดียวตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้

“อยากรู้ไหม? อยากรู้ต้องบวชก่อน”

เอามาบวชนะจนเป็นนางภิกษุณีที่มีฤทธิ์มาก ถ้าหัวใจไม่เป็นจริงมันจะไปแก้ไขพวกทิฐิมานะ ไอ้พวกต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยไม่ได้ ฉะนั้นศาสนาที่มั่นคง ศาสนาที่มั่นคงที่แบบที่ว่า

“มารเอยเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกายังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน”

แล้วพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะปักศาสนาให้มีความมั่นคง ศาสนามั่นคงมาสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา พระพุทธเจ้าเป็นคนตั้งเองอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา ฉะนั้นในศาสนาพุทธส่วนใหญ่แล้วจะอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ

แต่มหายานบอกว่าพระกัสสปะกับพระอานนท์ พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระโสดาบันร้องไห้ กอดคลอนประตูอยู่แล้วร้องไห้

“ข้าพเจ้าเป็นพระโสดาบันยังต้องการอาจารย์สอนอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานเสียแล้ว”

เสียใจมาก เหมือนกับเรา เราทำทางวิชาการกันอยู่แล้วอาจารย์ล่วงไปล่วงไป เราทุกคนจะว้าเหว่มาก ถามภิกษุ

“ภิกษุอานนท์ไปไหน”

“อานนท์ไปร้องไห้อยู่ที่กลอนประตูนั่นครับ”

“ไปเรียกอานนท์มา” “อานนท์ อานนท์เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตถาคตก็จะต้องนิพพานในคืนนี้ เธอจะเสียใจไปทำไม ธรรมและวินัยสอนไว้แล้ว เราตายไปแล้วอีกสามเดือนข้างหน้าจะมีสังคายนา เธอ พระอานนท์จะได้เป็นพระอรหันต์”

เพราะบุญกุศลเธอสร้างไว้มากแล้ว อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายี่สิบกว่าปีเห็นไหม ร้องไห้ ร้องไห้ นี่จะบอกว่าพระอานนท์ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ในวินัยของเรา

ภิกษุณีจะจำพรรษาด้วยตนเองไม่ได้ ภิกษุณีจะจำพรรษาต้องจำพรรษาอยู่ข้างวัดพระภิกษุ ต้องมีภิกษุวัดหนึ่ง แล้วภิกษุณีอยู่ข้างๆ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในพระไตรปิฎกไปเปิดสิ ภิกษุณีธุดงค์ไปโดนลัทธิต่างๆ เขากลั่นแกล้ง ไปถามนะ มีภิกษุณีองค์หนึ่งสวยมากแล้วพวกฆราวาสเขาจะมาทำร้ายไง สวยมาก ติดใจมาก ตามตลอด

“ถามว่าอะไรสวย” “ตาสวย”

“ตาสวยมากหรือ? ควักตาให้เลย”

ช็อกเลย ช็อกเลย พระอรหันต์ อะไรสวย ตาสวย ตาสวยใช่ไหม อะ ตา

ในพระไตรปิฎกนี่นะ สมัยนั้นต้องบอกว่าสังคมมันไม่เข้มแข็ง ฉะนั้นภิกษุณีไปที่ไหนคนที่เขาไม่ได้ถือเขาจะเคารพไหม? เขาเห็นของเขา เขาก็กลั่นแกล้ง เขาก็ลวนลามทั้งนั้น ดังนั้นภิกษุณีต้องจำพรรษาอยู่กับภิกษุคือวัดอยู่ใกล้กันเพื่อจะดูแลรักษากัน แล้วภิกษุณีบวชจะร้อยพรรษาก็แล้วแต่ ภิกษุบวชในวันนั้น ภิกษุณีต้องฟังพระ จะติเตียนพระไม่ได้ ภิกษุณีจะอยู่โดยเอกเทศไม่ได้ ภิกษุณีถึง ๑๕ ค่ำ พระภิกษุต้องเข้าไปอบรม แล้วนี่ภิกษุณีนี่มีภิกษุณีพระอรหันต์เยอะแยะเลย

นางอุบลวรรณาภิกษุณีที่มีฤทธิ์มีเดชด้วย ทีนี้มีฤทธิ์มีเดชนี่คือส่วนตัว พระอรหันต์ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่นี้ด้วยความสังคมใช่ไหม ถึงวาระที่พระอานนท์ต้องเข้าไปเทศน์ไง พระอานนท์ไม่กล้าเข้าไปเทศน์ไง ส่วนใหญ่พระอานนท์จะนิมนต์พระกัสสปะเข้าไปเทศน์เพราะพระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ ทีนี้พอพระอรหันต์เข้าไปเทศน์ อย่างพระอรหันต์เข้าไปเทศน์ ถามมาเถอะอะไรก็ตอบได้

เนี่ยจะบอกว่า เขาเห็น ขณะที่เผยแผ่ศาสนาอยู่ถ้าพระอานนท์เป็นพระโสดาบันวุฒิภาวะของพระโสดาบันกับวุฒิภาวะของพระอรหันต์มันต่างกัน แล้วพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะนี่พระอรหันต์แล้วมีฤทธิ์ มีฤทธิ์นี่ไม่ใช่มีโดยที่ว่าเราไปซื้อเอา เราไปกดเอามาจากตู้นะ มีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจวาสนาเพราะท่านปรารถนามาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ท่านได้เตรียมตัวของท่านมา ท่านได้สร้างสมของท่านมา

ฤทธิ์เดชมันเกิดมาจากตรงนั้น พอตรงนั้นมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เป็นสมบัติของท่าน แล้วคนอื่นไม่ได้สร้างมาจะเอามาจากไหน พระพุทธเจ้าจะตั้งขึ้นมาแล้วก็มอบอาวุธให้ เอาที่ไหน มันก็ไม่ใช่ มันก็เป็นเอง ถึงบอกว่าถ้าคนปุถุชนหรือความเห็นของโลก เวลามันตีความก็ตีความประสาโลก มันไม่เป็นความจริง แต่พระพุทธเจ้าตีด้วยความเป็นจริง

แต่ใจเราเข้าไม่ถึงกัน ใจเราเข้าไม่ถึง ใจเราเข้าไม่รู้ ใจเรามันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น อันนี้พูดถึง พูดถึงการจะรักษา จะดูตัณหา จะควบคุมตัณหา เพราะว่าเราพูดกันอย่างนี้ แล้วพูดอย่างนี้ปั๊บถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ไหน ท่านเสริมนะ อูย ก็ทำอย่างนั้นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นอย่างนั้นมันเหมือนกับประสาเราเลย มันทิ้งราก คนไม่มีราก คนไม่มีราก คนไม่มีความเป็นไป

แต่ถ้าคนมีราก ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลดี สมาธิดีตั้งขึ้นมา คนมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมามันทำงานของมันได้ แล้วมันทำงานของมันเอาตัวรอดได้ ถ้าคนไม่มีรากนะ แล้วตอนนี้จะตัดรากกันทิ้งหมด ทางลัด ทางลัด ถ้าทำได้เราก็โอเคนะ ประสาเรา เราก็อยากลัด เราก็เคยทำทางลัดมาแล้วเหมือนกัน เราก็พยายามจะทำอยู่นี่

แต่มันลัดไม่ได้ ลัดมันเสื่อมหมด ลองลัดลองตัดตอนนะ พอเราลัดตัดตอนเดี๋ยวมันเสื่อมหมด พอเสื่อมหมดเราก็ต้อง มึงก็ไปไม่รอด พอไปไม่รอดมันก็ต้องไปเริ่มต้นมาจากนั้น ก็เริ่มต้นมาจากศีล สมาธิ ปัญญา ทีนี้พอทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาแล้วมันเป็นจริง พอมันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงเพราะเราทำจริง (แหย่เรื่อยๆ มันออกมาเรื่อยๆ นี่)

ถาม : ขณะนั่งสมาธิ จิต ขณะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่รู้สึกจิตสงบ สมองโล่ง สมองโล่งเบาสบาย มีความรู้สึกเป็นปกติสม่ำเสมอดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่นับวันมันจะเด่นชัดมาก ทุกครั้งที่จิตมันเป็นสมาธิ มันจะไปจับรวมกับแกนแท่งๆ ใก้ลๆ ลมหายใจ แต่ไม่ใช่ลมหายใจ มันไม่เพ่ง แต่สติมันไปจับ มันจะเป็นสมาธิได้เร็ว อย่างนี้เรียกว่าจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะรู้สึกว่าระยะหลังมันจะเริ่มเป็นอะไรที่ชัดเจน

หลวงพ่อ : ชัดเจน อันนี้คนเขียนนี่เขียนถูก ถูกต้อง สมาธิมันชัดเจน เราคิดว่าสมาธิเป็นความว่างที่ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่นะ สมาธินี่เป็นความว่าง แต่เป็นความว่างที่มีเจ้าของเพราะตัวจิตเป็นตัวภพ ตัวจิตเวลามันฟุ้งซ่าน มันฟุ้งซ่านด้วยอารมณ์ ไม่รู้สึกถึงสิ่งใดๆ เลย ถ้ามันเป็นสมาธิตัวมันเป็นสมาธิ

ถ้ามันเป็นสมาธิมันจะ อึ๊ก! สมาธิถึงบางอ้อ เอ๊าะ! เอ๊าะ! นี่เป็นสมาธิ ว่างๆ ค่ะ ว่างๆ ค่ะ ว่างๆ นะ ความฟุ้งซ่านเป็นความคิด ไม่ใช่จิต แล้วเราก็พยายามดูนามรูป ดูความรู้สึกกัน เวลามันปล่อยความรู้สึก มันปล่อยความคิดใช่ไหม? จิตกับความคิดมันคนละอัน มันปล่อยความคิดตัวจิตมันอยู่นี่

เวลามันปล่อยความคิดขึ้นมาตัวจิตมันไม่ใช่ว่าง ตัวจิตมันไม่เป็นสมาธิ มันก็เลยไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไร ว่างๆ ค่ะ ว่างๆ ค่ะ ว่างๆ คือการปล่อย ปล่อยอารมณ์นะ เราไปสร้างอารมณ์ว่างกันไง บางทีพอจิตมันคิดใช่ไหม พอมันคิดขึ้นมามันก็ทุกข์มันก็ร้อน เราก็ทุกข์เพราะความคิด เราก็กำหนดความคิด กำหนดดูความคิดแล้วมันต้องปล่อยความคิดมา

พอปล่อยความคิดมาตัวมันเองก็เฉยอยู่ เราถึงบอกเป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิเพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไปสร้างอารมณ์ความรู้สึก สัญญาอารมณ์ เราจะบอกว่ามิจฉาสมาธิ สิ่งที่ทำกันอยู่มิจฉาสมาธิเพราะการไปปฏิเสธสมาธิ ทุกคนบอกว่ากำหนดพุทโธ ทำสมาธินี่พระป่านี่ ศีล สมาธิ ปัญญาเนิ่นช้าเสียเวลา เราไปปฏิเสธสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กันเสียก่อน

อย่างเช่น เราไปปฏิเสธอาหารที่เป็นอาหารหลัก โภชนาการเราปฏิเสธอาหารหลัก เราไปกินแต่สิ่งที่เป็นอาหารขยะกัน แล้วสุดท้ายร่างกายเป็นอย่างไร? ร่างกายของเรามันจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราต้องกินอาหารหลักใช่ไหม มีโภชนาการที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธมันเหมือนกับเรามาอยู่ที่ใจกัน เรามาอยู่ที่ตัวหลักกัน พออยู่ที่ตัวหลักกันมา

สิ่งที่เราทำแล้วมันดีตรงไหน ดีตรงที่ร่างกายมันแข็งแรงไง พอร่างกายมันแข็งแรงที่มันชัดเจนขึ้นมา ที่คำว่าชัดเจน อย่าไปคิดว่าผิดนะ อย่าไปคิดว่าผิด สิ่งใดถ้ามันมีอะไรที่ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น ฟังให้ดีนะ ตรงนี้เป็นเคล็ดเลย ถ้าชัดเจนขึ้นไปจับที่ชัดเจนนะสมาธิเสื่อมหมด

สิ่งใดจะชัดเจนขึ้น เรื่องของการชัดเจนไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราอยู่ที่การกำหนด อยู่ที่สติ อยู่ที่เหตุ ถ้าเราอยู่ที่เหตุสมาธิไม่มีวันเสื่อม ถ้าเราไปอยู่ที่สมาธิ สมาธิเสื่อมหมดเลย อยากได้สตางค์ไม่ทำงาน ไม่มีสตางค์หรอก ทำแต่งานสตางค์มันมาเอง ทำแต่งานนะ เงินไหลมาเทมา ทำแต่งาน ทำแต่เหตุ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้านั่งสมาธิ กำหนดที่สมาธิกำหนดนะ ต้องมีกำหนด ต้องมีจุดยืนนะ เรานั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเห็นไหม รู้สึกจิตโล่งสบาย โล่งเบาสบายมันเริ่มเป็นเบาสบายเฉยๆ ถ้าโล่งเบาสบายอธิบายเป็นชั่วโมง เพราะถ้ามันเป็นปัญญาวิมุตติ การกำหนดสมาธินี่นะมันเป็นเจโตวิมุตติ

คำว่าเจโตวิมุตตินี่เราจะบอกว่าโยมฟังแล้วนะ โยมอย่าเกาะเราติดนะ อย่ายึด การที่เราพูดเราพูดเป็นสาขา อย่างเช่นการศึกษามันมีเอกสาขาต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลย แต่สิ่งที่เข้ามาเรียนกันอยู่นี่เขาต้องการให้จบ มีอาชีพ ออกไปประกอบอาชีพ

การทำสมาธินี่ผลของมันคืออยากให้ได้สมาธิ ไม่ใช่ว่าต้องไปรู้สาขาของคนอื่น ไม่ใช่ แต่ถ้าเราเรียนสาขาไหน เราถนัดทางไหน เราต้องเรียนสาขานั้นให้จบเพื่อเป็นวิชาชีพของเรา นี้ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ เป็นศรัทธาความเชื่อมันจะมีหลักของมัน ถ้าหลักของมันกำหนดพุทโธมันทำได้ง่าย เหมือนกับเราทำได้ง่าย

ดูสินักมวยเวลาเขาฝึกซ้อมของเขา เขาก็ต้องต่อยกระสอบ เขาก็ต้องเป็นนักมวยของเขาใช่ไหม นั่งวิ่งเขาก็ต้องวิ่งของเขาใช่ไหม นี้ถ้าเป็นเจโตวิมุตตินี่จะกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่มันจะสงบเข้ามา มันจะโล่ง มันจะสบาย แล้วสมาธิจะลึกมาก สมาธิจะมีน้ำหนัก สมาธิมัน ถ้าสงบแล้วอาจรู้ได้เห็น รู้เห็นสิ่งต่างๆ นี่คือส่งออกคือจิตรู้นอก

จิตรู้นอกคือจิตรู้อาการของจิต ถ้าจิตรู้ใน จิตรู้ในคือจิตเห็นอริยสัจ ถ้าจิตรู้นอกเห็นไหม ถ้าเราควบคุมจิต จิตรู้นอกไปจิตรู้นอกเราก็ห้ามมัน สติเราห้ามมัน เราไม่ไปกับมัน ถ้าไม่ไปกับมัน มันก็กลับมาที่ตัวจิต กลับมาที่ตัวจิตมันก็มาชัดเจนอย่างนี้

แต่ถ้าเป็นใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญากันที่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธินี่ เราใช้คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ เราไม่ใช้คำว่าดูจิต เพราะดูจิตมันเหมือนกับกำหนดนามรูป มันปล่อย มันปล่อยความรู้สึก มันปล่อยความรู้สึก แต่ตัวจิตมันไม่เป็นอิสระเพราะมันปล่อยราก พอปล่อยรากมันไม่มีราก คนไม่มีราก คนไม่มีจุดยืน

เราพูดอย่างนี้นะ ลองไปสนามหลวงสิ เราเห็นคนเล่นว่าว ว่าวนี่มันมีตัวว่าว มันมีเชือก มันมีลม ว่าวมันจะขึ้น เราเห็นเขาเล่นว่าว เราก็อยากเล่นว่าว เราจับว่าวโยนขึ้นไปเลย ให้ว่าวมันขึ้น ขึ้นไหม? เพราะมันไม่มีเชือกบังคับใช่ไหม มันไม่มีราก มันไม่มีจุดยืน เราต้องมีราก เราต้องมีจุดยืน เราถึงต้องมีสติ เราต้องคุม

แล้วถ้ามีราก มีจุดยืนนะ ถ้าคนมีจุดยืน มีรากมันจะกลับมาที่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิเพราะกิเลสมันอยู่ที่ราก เราปฏิบัติกันนี่เราต้องการชำระกิเลส กิเลสมันอยู่ที่ราก มันอยู่ที่ตัวจิต มันอยู่ที่ตัวภพ ฉะนั้นการกระทำมันต้องไปกระทำกันตรงนั้น ถ้าทำแล้วนะ ถึงต้องมีสมาธิเพราะตัวสมาธินี่เป็นตัวกลั่นกรองให้ความคิดของเราให้มันเป็นธรรม

ถ้าไม่มีสมาธิความคิดของเราเป็นกิเลส ความคิดจากเราเป็นโลกียปัญญา ความคิดที่คิดกันอยู่ทั้งหมด คิดมากขนาดไหนก็ได้มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสติ ปัญญาจากเรา ปัญญาจากกิเลสทั้งหมด แม้แต่ตรึกธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกธรรมในพระไตรปิฎก ตรึกธรรมปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า คิดธรรมะทั้งหมดเลย คิดธรรมะ แต่มึงไม่เป็นธรรมะ มึงคิดธรรมะ แต่ใจมึงเป็นกิเลส

แต่พอคิดธรรมะมันซึ้งใจธรรมะ มันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา นี่ปัญญาอบรมสมาธิ การใช้ปัญญาทั้งหมดผลของมันคือสมถะหมดเลย ผลของการใช้ความคิดจิตจะเป็นสมถะหมด ไม่เป็นปัญญาเลย เว้นไว้แต่จิตมันสงบบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า จนจิตมันสงบเข้ามา แล้วเห็น จิตเห็นอาการของจิต

ตัวจิตคือตัวเรา ตัวรากนี่ ตัวรากมันเห็นราก มันไปเกาะอะไร? เกาะความคิดไง สิ่งที่มันเป็นความคิดที่มันฟุ้งซ่าน เราคิดแล้วฟุ้งซ่าน คิดแล้วมันทุกข์ มันพิจารณา มันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามาเพราะความไม่รู้ของเขา ความไม่รู้ของเขาเหมือนกับเราได้ยามา ยานี่หมอให้ยามา แล้วหมอบอกต้องกินยาครบคอร์ทของมันนะแล้วมันจะแก้โรคได้

กินเม็ดเดียวพออาการบรรเทาทิ้งยาเลย พอทิ้งยาแล้วมันรักษาหายไหม? แต่ถ้าเราเชื่อหมอ เราเชื่อหมอนะ เราพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปล่อยให้มันสงบเข้ามาบ่อยครั้ง มันจะปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามานี่ทึ่งนะ คนทำใหม่ๆ จะทึ่งมาก เออะ! เฮ้ยเป็นอย่างนี้หรือ? เออะ! เออะ! เออะ! เพราะอะไร? เพราะเรามันไม่เคยเห็นว่าจิตมันเป็นอิสรภาพ จิตมันเป็นขี้ข้า มันโดนกิเลสชักลากไปตลอด

แล้วพอเราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไล่เข้าไป ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยมา ปล่อยมา เออะ! เออะ! เออะ! บ่อยครั้งเข้ามันชำนาญขึ้น ชำนาญขึ้น ชำนาญขึ้นจนมันเป็นพื้นฐาน เพราะพื้นฐานเราสังเกต สังเกตว่ามันออกไป มันออกไปเพราะจิต จิตมันคิดเองไม่ได้ ตัวจิตนี้คิดเองไม่ได้ ตัวจิตเป็นตัวพลังงาน ตัวจิตเอง ตัวจิตพูดไม่ได้

คำพูดที่พูดออกมามันผ่านขันธ์ ผ่านขันธ์คือผ่านความคิด ถ้าไม่มีความคิดพูดไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่เร็วมาก มันมีอยู่หนหนึ่ง มันมีคณะแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราช เขาทำวิจัยเรื่องสมอง ทำวิจัยเรื่องสมอง ทำวิจัยเรื่องสมองว่าสมองมันคิดได้อย่างไร? แล้วก็ทำวิจัยสมองจนถึงที่สุดแล้วมันตัน ตันเพราะว่าสมองนี่มันเป็นสสาร สสารคิดได้อย่างไร?

ก็เลยมาบวช บวชแล้วไปหาเรา บอกว่าสมองมันคิดได้อย่างไร? เราบอกว่าสมองคิดไม่ได้ ธาตุคิดไม่ได้ ธาตุคิดไม่ได้หรอก สมองของคนมันเป็นศูนย์ มันเหมือนกับศูนย์ควบคุม ประสาทควบคุมร่างกาย สมองนี่เป็นศูนย์ควบคุมร่างกาย สมองคิดไม่ได้ แต่ความคิดนี่ต้องใช้สัญญา ต้องใช้สังขาร

สังขารความคิดต้องใช้จิต ความคิดต้องใช้จิต แต่จิตตัวเองก็คิดไม่ได้ ถ้าไม่ผ่านเครื่องมือกระบวนการ ฉะนั้นระหว่างสมองกับจิตมันต้องเอื้อกัน มันเอื้อ มันเกี่ยวเนื่องกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำงานไม่ได้ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งสมองทำงานไม่ได้ เขาเลยบอกว่าอย่างนั้นเขาอยากเห็นวิญญาณ เขาพยายามนั่งสมาธิ เขาอยากเห็นผี เขาพยายามมาก (หัวเราะ) ก็ผีที่ตัวมึงนี่ มึงยังไม่เห็นเลย

ด้วยความอยากแล้วไม่เห็น หมอจำชื่อเขาไม่ได้ เวลาเขาทำวิจัยกันทุกอย่างนะจะไปหาเยอะมาก ไปหา ขนาดพวกวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก กดเลย เทปไปถึงตั้ง ๔-๕ ตัวเลย “หลวงพ่อพูดมา หลวงพ่อพูดมาเพราะว่าผมจะทำวิทยานิพนธ์แล้วจะทำให้ตัวเองอยากภาวนาด้วย” แล้วพยายามพูด เขาพูดเห็นไหม เขาจะให้เราพยายามพูดให้เขาเข้าใจ

“หลวงพ่อพูดให้ผมเข้าใจสิ ให้เข้าใจสิ”

เราพยายามพูดอยู่ พูดว่าประโยชน์ในการทำวิทยานิพนธ์ แต่เขาเอาเปรียบ เราเข้าใจว่าเขาอยากรู้จริง พอเขาอยากรู้จริง เขาบอกว่าพูดให้เขาเข้าใจสิ เราบอกว่า

“เฮ้ย นกกับปลามันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก”

นกกับปลา เพราะนกมันก็บอกอากาศมันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ปลามันอยู่ในน้ำ ปุถุชนกับวุฒิภาวะของจิตมันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก แต่เขาอยากรู้มาก พูดซักไซ้อยู่นั่น จนเราสรุปเลย นกกับปลานะ นกกับปลา เขา เออะ! เลย เขาเข้าใจเพราะเขาทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกอยู่ ตัวเขาปริญญาโท คนทำวิทยานิพนธ์ต่างๆ จะไปหา จะไปหาอย่างนี้มาก

ฉะนั้นสิ่งที่ว่านี่ ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันปล่อยเข้ามา มันเข้าไป มันปล่อย ถ้ามีสตินะ มีการรักษานะ มันจะเป็นสัมมา แต่เราเข้าใจผิดกันไป เราจะเป็นทางลัด เรากำหนดแล้วให้มันปล่อยว่าง ปล่อยว่าง พอปล่อยว่างอันหนึ่งมันปล่อยว่างโดยที่ไม่มีสติ พอไม่มีสติคิดดูสิว่าสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ยานอวกาศขึ้นไปบนอวกาศถ้าศูนย์ควบคุมมันผิด มันควบคุมไม่ได้ ยานอวกาศมันจะไปไหน?

ถ้าจิตไม่มีสติ ไม่มีคนควบคุมมัน มันไปอยู่กับใคร? มันเป็นมิจฉาสมาธิไง เราเห็นอย่างนี้มาเยอะ แล้วไปหา พูดทีไรร้องไห้ทุกที ใครไปหานะ พออธิบายปั๊บ นั่งร้องไห้โฮๆ เพราะอะไรรู้ไหม? เขาปฏิบัติมากันคนละ ๓๐ ปี ๔๐ ปีเสียเวลาเปล่า บอกสิ่งที่เป็นเป็นมิจฉา ไปหาทีไรร้องไห้ทุกคน แต่ถ้าเป็นสัมมา สัมมามันมีสติ พอมีสติแล้วควบคุม แล้วพอมันควบคุมไป มันจะเข้ามาอันนี้ มันจะชัดเจน

ถ้าเป็นสมาธินะ ตัวเองเป็นสมาธิ เรากินข้าวมันอิ่มท้อง แล้วว่าการปฏิบัติของเขานะมันอิ่มท้อง กินข้าวแล้วมันเป็นอย่างไร? กินข้าวแล้วเป็นอย่างไร? มึงจะบ้าหรือ กินข้าวก็อิ่มไง สมาธิเอ็งก็เป็นเองไง

เวลาปฏิบัตินะต้องส่งอารมณ์ ส่งอารมณ์ การส่งอารมณ์นะ เราต้องให้ หลวงตาท่านพูดประจำ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้ายังไม่ถามเลย ถ้าเรารู้จริงนะจะไม่กลัวใครเลย ความรู้จริงของเราจะไม่หวั่นไหวกับใครทั้งสิ้น ใครจะโจมตี ใครจะเหยียบย่ำขนาดไหน เรื่องของเอ็ง เรื่องของเอ็งเลย แล้วนี่ต้องส่งอารมณ์ ส่งอารมณ์

เริ่มต้น มันก็เริ่มจากความโลเล สีลัพพตปรามาส เริ่มต้นจากความโลเล เริ่มต้นจากความไม่จริงไม่จัง แล้วปฏิบัติธรรมกันจะเอานิพพานกัน มันเป็นไปได้ยาก ฉะนั้นถ้ามันเป็นอย่างนี้นะ ถ้ามันพอจิตมันสงบเข้ามาเดินจงกรมไป เดินบ่อยครั้งเข้าจนให้จิต

ปฐมฌาน วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ วิตก วิจารนี่พุทโธ พุทโธ นึกขึ้นคือวิตก วิจารคือแบ่งแยกพุทกับโธ วิตก วิจาร วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ถ้ากำหนดไปมันจะวิตก วิจาร วิตก วิจารมันจะหายไป เกิดปีติ พอเกิดปีติ ตทังค ปีตินี่มันจะรู้ร้อยแปดพันเก้าเลย พอนั่งไป จิต ร่างกายเหมือนไม่มี โหวงเหวงไปหมดเลย บางทีเรานั่งอยู่นี่นะ โลกนี้เป็นปลายเข็ม ตัวเรานั่งครอบโลกเลย เวลาปีติมันเกิด

โลกนี้เหมือนปลายเข็มเลยนะ เรานั่งครอบโลกเลย โลกนี้ ร่างกายนี้ว่างหมด นี่เกิดปีติ ถ้าใครปีติ เสื่อมอีกเพราะปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ พอเกิดปีติมันก็มีความสุข พอความสุขก็ติดอยากได้ อยากเป็น อันนี้เป็นทางผ่านหมดนะ อันนี้เป็นการสะสม ไม่มีครูมีอาจารย์ โธ่ๆ ทำไปเถอะ

ในการทำสมาธิมันจะมีอุปสรรคของมันไปเรื่อยๆ เพราะจิตมันมหัศจรรย์ จิตนี่มันร้อยแปด จิตนี้มันฝึกฝนมา จิตนี้มันสะสมมา จิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จิตของคนมีบุญมีกรรมของมันอยู่ในหัวใจทั้งนั้น แล้วจิตมีบุญมีกรรมมันไปถึงข้อมูลมันแสดงออก พอเราถึงพุทโธก็ไปถึงฐานของมัน มันแสดงออกตามธรรมชาติของมันหมด

แล้วพอมันแสดงออกตามธรรมชาติของมันแล้วอาจารย์องค์ไหนจะคอยดู จิตคึกคนอง จิตที่มหัศจรรย์ สงบแล้วขึ้นไปอยู่บนอวกาศ สงบปั๊บขึ้นไปเห็นเดินจงกรมอยู่บนกลางอากาศเลย แล้วถ้าพระมันไม่มีสตินะ มันว่ามันเป็นพระอรหันต์แล้วนะ มึงกำลังจะบ้า มึงไม่รู้สึกตัวนะนั่นนะ

ครูบาอาจารย์เป็น ดึงกลับมา ดึงกลับมา ดึงกลับมา แล้วจิตมันสงบเห็นอะไรอยู่ข้างนอก ถ้าออกไปอยู่ข้างนอก ถ้าเราตกใจ หยุด เห็นสิ่งใดเป็นประโยชน์เราจะดู ถ้าเห็นสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์มันจะตกใจ ตกใจกำหนดที่จิต อยู่ที่ผู้รู้ ลืมตาจะเห็นภาพ หลับตาไม่เห็นภาพ กลับไปดู ทุกอย่างหายหมด ถ้ารู้ที่จิต จิตที่ออกไปจะเห็นหมดเลย เห็นอย่างนี้ เห็นถ้าจิตมันเข้าเป็นสมาธินะ

แต่ถ้าบาปอกุศลนี่ไม่เห็นหรอก กรรมดีกรรมชั่วมันจะเห็นหมดล่ะ ถ้าจิตมันเข้าไปถึงฐาน จิตของใครก็แล้วแต่เข้าไปถึงข้อมูลเดิม ข้อมูลเดิมหมายถึงว่าสิ่งที่สร้างสมมา มันจะแสดงตัวทันทีเลย แล้วการแสดงตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกันเห็นไหม

การแสดงตัวของแต่ละคน บางคน ดูสิ พลิกแพลงร้อยแปดพันเก้า ถ้าไม่มีวุฒิภาวะนะ ใครมันจะเป็นอาจารย์ใคร ใครจะเป็นอาจารย์ใคร แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้ มันพอเดินจงกรมแล้วมันสงบขึ้นมา เราทำของเราไปเรื่อยๆ ถ้าทำเรื่อยๆ มีสติปั๊บ มีสติมันเป็นสัมมา สัมมาเหมือนกับเราทำสัมมาอาชีวะ เราทำปกติ มันจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ นะ

แล้วที่ถามเมื่อกี้ตอนเช้าเห็นไหม ถ้าทำไปบ่อยครั้งแล้ว แล้วออกมาพิจารณา สภาวะต่างๆ พิจารณาได้ การพิจารณามันส่งเสริมให้สมาธิมั่นคงขึ้น แน่นขึ้น การพิจารณาไง เพราะเราทำแต่สมาธิอย่างเดียวมันเป็นสมาธิ

การฝึกปัญญา ปัญญาต้องฝึกขึ้น ถ้าทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาโดยอัตโนมัตินะ ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว สมาธิคือสมาธิ ปัญญาคือปัญญา แต่สมาธินี่ ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาจากกิเลสหมด ตัวสมาธิเป็น ถ้ามีกิเลสมันจะเกิดสมาธิไม่ได้ พอเป็นสมาธิคือกดกิเลสให้นิ่งก่อน

พอกดกิเลสให้นิ่งก่อน พอเรามาฝึกปัญญา ถ้าไม่ฝึกปัญญา ปัญญาเกิดเองไม่ได้ ปัญญาเกิดเองไม่ได้ มันตัดตอนกัน ถ้าปัญญาจะเกิดเองได้เราต้องฝึกหัด ฝึกหัดฝึกฝน แต่ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ พอจิตมันสงบ ถ้าเราน้อมไปที่กาย การเห็นกายคือการเห็นปัญญา การเห็นกายคือการเห็นตัณหา การเห็นกายคือการเห็นกิเลส

เพราะกิเลสนี่มันเป็นนามธรรม มันแสดงตัวไม่ได้ มันแสดงตัวผ่านความคิด ผ่านร่างกาย กิเลสนี่มันแสดงตัวผ่าน ผ่านความคิด ผ่านร่างกาย ผ่านขันธ์ ผ่านความรู้สึก แล้วถ้าเราทำความสะอาดของมัน เรามีสติปัญญาเข้าไป แล้วไปใคร่ครวญไปไตร่ตรองมันระหว่างความคิดที่สะอาดกับสิ่งที่เจือปนมา กิเลสเป็นสิ่งเจือปนไปกับความคิดเราตลอดทุกๆ เรื่อง ทุกๆ อณู ทุกๆ ความคิด กิเลสเจือปนไปด้วยหมด

ด้วยปัญญาโดยภาวนามยปัญญา ด้วยโลกุตตรธรรม ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะเข้ามาชำระสะสาง มันจะมีการแยกออก มีการแยกออก มีการแยกออก อย่างนี้ถึงจะเป็นวิปัสสนาไอ้ที่ว่ากำหนดนี่ ใช้วิปัสสนาปัญญาสายตรง กำหนดนามรูปแล้วว่างหมดนั่นเป็นวิปัสสนา อันนั้นมันเป็นหินทับหญ้า เวลาเราบอกพุทโธเขาบอกหินทับหญ้า หินทับหญ้านะ แต่มันก็เป็นสิ่งความจริง

แต่ขณะที่เขาเอาปัญหาทั้งหมดซุกเข้าใต้พรม เขาไม่บอกว่าเขาเอาปัญหาซุกใต้พรมนะ เขาไม่บอก เพราะมันไม่มีใครรู้ มันไม่มีใครโต้แย้ง ที่พูดนี้นะ เราพูดเป็นวิชาการ ไม่ได้พูดถึงเรื่องส่วนบุคคล เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนบุคคลมันเป็นกรรมของสัตว์ ในเมื่อสัตว์มันเชื่อ สัตว์มันเป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นความพอใจกับเขา มันทำสิ่งนั้นไปมันก็สุดวิสัยของเรา

เด็กมันชอบกินไอติม บอกไอติมกินแล้วมันไม่เป็นประโยชน์กับร่างกาย ก็จะกิน มันก็ต้องปล่อยเขาไป เราจะไปบังคับความทิฐิ บังคับความเห็นของคนไม่ได้ ความทิฐิความเห็นของคนนี่สายบุญสายกรรมเพียงแต่ครูบาอาจารย์ ถ้ามีอำนาจวาสนาจะแก้กันได้ ถ้าแก้กันได้ก็จะให้เข้าทาง ถ้าเข้าทางมันก็ไปชาตินี้ ถ้าไม่เข้าทางนะ การกระทำมันก็เป็นสายบุญสายกรรม สายบุญสายกรรมนะ

ดูสิเทวดา ไปเกิดเป็นเทวดานี่เป็นนางฟ้าคนสุดท้าย มันไปเป็นใคร มันก็ไปเป็นบริวารของเขา มันไปเป็นบริวารของเขา มันจะมีบริษัทบริวารอย่างนี้ไง แล้วสิ่งนี้มันหมุนเวียนตายเวียนเกิด ถึงเวลามองสังคมสิ พระนี่ทำไม่ดีเลย ทำไมเขามีอำนาจ เพราะอะไร? เพราะเขามีทุนเดิม ทุนเดิมมันอันหนึ่งนะ ถ้าทุนเดิมเรามีแล้วในปัจจุบันนี้เราเอาทุนเดิมมาทำในสิ่งที่ดีๆ มันจะเป็นสิ่งที่ดีๆ ถ้าทุนเดิมมันมีมาเราใช้ไม่เป็น คนไม่รู้จักใช้ มันถึงว่าอยู่ที่ทิฐิ อยู่ที่มานะ อยู่ที่ความเห็น อยู่ที่การกระทำ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มาก

ถ้าเป็นสัมมาทิฐินะ เป็นความเห็นที่ดี ถ้าเวลามันทำถูกทำดีเวลาปัญหาขึ้นมา มันจะเห็น อย่างนี้ ถ้ามันจับได้มันดีขึ้น ถ้าสมาธิมันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วพอมันจับได้ คำว่าจับได้มันรู้สึกตัว มันไม่ใช่นั่งหลับ กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่นะแล้วมันหายวับไปเลย เขาล็อกได้เลยนะ กี่ชั่วโมงก็ได้ แล้วพอมันจะมาเหมือนสะดุ้งตื่น นั่นละสมาธิหัวตอ ตกภวังค์ ไม่ใช่สมาธิ

พุทโธ พุทโธ พุทโธไปนะ วับ! หายเลย ถ้าคนไม่เข้าใจก็นึกว่านั่งสมาธินะ นั่งนี่ โอ้โฮ นิ่งเลยนะ กี่ชั่วโมงก็ได้นะ เวลามันออกมันเหมือนกับเราสะดุ้งตื่น นั่นละสมาธิหัวตอ ตกภวังค์ นี่การเข้า การเข้าสมาธิการอะไรมันมีเทคนิคของมันมาก เทคนิคนะ แล้วมันเป็นที่การสร้างมา ถ้าคนสร้างสิ่งที่ดีๆ มามันจะราบรื่น แล้วจิตมันจะไม่ผาดโผนนัก

แต่ถ้าใคร จิตนี้มันผ่านการเกิดการตาย มันผ่านยุทธจักรมามาก มันจะผาดโผน แล้วถ้าผาดโผนมันเหมือน ควาญประจำช้าง ถ้าช้างไม่มีควาญนะ ช้างนั้นมันจะไปตามอำนาจของมัน ถ้าควาญช้างมันมีนะ มันจะดื้อขนาดไหนนะ ความช้างมันเอาปฏักลง ครูบาอาจารย์ที่มีอำนาจเหนือกว่าจะเอาไว้อยู่

ถ้าเอาไว้อยู่นะ ช้างนั้นจะเป็นประโยชน์ ถ้าเอาไว้ไม่อยู่นะ ช้างนั้นมันตกมันนะ มันไปทำลายเขายับเยินเลย จิตมันเป็นอย่างนั้น ถ้าภาวนามันรู้อย่างนี้ เหมือนหมอ หมอรู้เรื่องคนไข้ หมอนี่นะ เวลาคนไข้มาอะไรมา เขาจะทนุถนอมจะรักษาให้หายทั้งนั้น

พระนี่ก็เหมือนกัน พระนี่หมอทางจิต จิตแพทย์นี่เวลารักษากันเขาต้องเปลี่ยนนะ ถ้ามันรักษาบ่อยๆ ไอ้จิตแพทย์มันบ้าเอง ไอ้หมอพระรักษาไปเถอะ กี่คนกูก็รักษาได้ แต่ไอ้จิตแพทย์ถ้ามันทำงานถึงชั่วโมงแล้วต้องเปลี่ยนแล้ว เดี๋ยวจิตแพทย์มันต้องให้จิตแพทย์แก้มันด้วย ควาญช้างนะ..

มันจะได้เวลาเพราะว่างวดละ ๒ ชั่วโมง โยมเหนื่อยยัง โยมพอยัง โยมพอเดี๋ยวเอาไว้รอบต่อไป ถ้าครบ ๒ ชั่วโมง ครบ ๒ ชั่วโมงก็เอาใหม่เนาะ เอาแค่นี้ก่อนเนาะ แล้วเดี๋ยวรอบต่อไป รอบต่อไปค่อยว่ากันใหม่นะ เอวัง